บลจ.กรุงศรี ขายกองทุน KFGLOBAL ลงหุ้นคุณภาพดีทั่วโลก เริ่ม 21-25 มี.ค.นี้

บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี Global Unconstrained Equity (KFGLOBAL) โอกาสลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วโลก ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนดีบนระดับความผันผวนที่ไม่มากจนเกินไป ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท เสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 21-25 มี.ค.นี้

วันที่ 21 มีนาคม 2567 นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า ภาพรวมบรรยากาศการลงทุนในช่วงเวลานี้มีแนวโน้มที่ดีและมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่หลายเรื่อง ทั้งเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลง เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง ดัชนีตลาดหุ้นหลักหลายแห่งปรับขึ้นสู่จุดสูงสุด อีกทั้งโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเหลือเพียง 40% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 70% ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การลงทุนในตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจโลกที่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง”

“บลจ.กรุงศรี มองว่าเป็นจังหวะดีในการลงทุนหุ้นต่างประเทศจึงได้เปิดเสนอขายกองทุนกรุงศรี Global Unconstrained Equity (KFGLOBAL) ซึ่งบริหารโดย BlackRock ผู้จัดการกองทุนระดับโลกมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักชื่อ BlackRock Global Unconstrained Equity Fund, Class D USD ที่ได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว* กองทุนหลักใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Unconstrained Approach

เน้นลงทุนในบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยที่ไม่ยึดติดกับประเภทหุ้นอุตสาหกรรม หรือดัชนีชี้วัดเพื่อโอกาสที่ดีที่สุดทั้งในวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง (*ที่มา : BlackRock ณ 31 ธ.ค. 66/ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต/การจัดอันดับจาก Morningstar ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด)

“จุดเด่นของกองทุนหลัก นอกจากการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตแล้ว 50% ของพอร์ตจะลงทุนในธุรกิจที่มีความทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้พอร์ตในช่วงเศรษฐกิจขาลง ส่วนที่เหลือจะกระจายการลงทุนในหลากหลายประเภทธุรกิจที่มีศักยภาพสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ส่งผลให้กองทุนมีผลงานที่ดีเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด

พอร์ตปัจจุบันมีการลงทุนใน 3 ธีมหลักได้แก่ 1) บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีตำแหน่งเป็นผู้นำตลาด 2) เป็นหุ้นของบริษัทที่มีเทคโนโลยี หรือมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ 3) เป็นบริษัทที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนของผลตอบแทน” “สำหรับกรอบกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนหลักจะเน้นคัดเลือกหุ้นรายตัว โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ประมาณ 20-30 หลักทรัพย์ ภายใต้ 3 ธีมการลงทุนหลักดังกล่าวข้างต้น

“ตัวอย่างหุ้นในพอร์ตที่กองทุนหลักลงทุน เช่น Microsoft, Ferrari บริษัทผลิตรถยนต์ LVMV บริษัทลักเซอรี่แบรนด์อย่างหลุยส์ วิตตอง และ ASML บริษัทเครื่องผลิตชิปคอมพิวเตอร์ เป็นต้น การบริหารกองทุนจะใช้มุมมองระยะยาว ไม่ปรับพอร์ตบ่อยนัก โดยจะปรับพอร์ตเมื่อปัจจัยขับเคลื่อนหรือพื้นฐานหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อปัจจัยสนับสนุนการลงทุนหรือราคาของหลักทรัพย์ในพอร์ต มีการปรับตัวจนทำให้กองทุนมีสัดส่วนของธุรกิจกลุ่ม Defensive น้อยกว่า 50% หรือระดับราคาของหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเกินกว่าความเป็นจริงอย่างมาก รวมทั้งมีการค้นพบบริษัทอื่นที่มีศักยภาพที่ดีกว่า”

ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย 1 ปีอยู่ที่ 34% ดัชนีชี้วัด MSCI World อยู่ที่ 24% ผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 10% ดัชนีชี้วัด MSCI World อยู่ที่ 7% ผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ต่อปี) อยู่ที่ 14% ดัชนีชี้วัด MSCI World อยู่ที่ 9% และมีผลตอบแทนสะสมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 64.8% ผลตอบแทนสะสมของดัชนีชี้วัด MSCI World อยู่ที่ 40.0%”

(ที่มา : BlackRock ณ 31 ธ.ค. 66/ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต/ผลการดำเนินงานที่แสดงเป็นผลการดำเนินงานของกองทุนหลักซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน)

“บลจ.กรุงศรี เชื่อมั่นว่ากองทุน KFGLOBAL เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจในการเข้าถึงหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตของผลกำไรที่แข็งแกร่ง ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีบนระดับความผันผวนที่ไม่มากจนเกินไป และสามารถใช้เป็นพอร์ตการลงทุนหลักของทุกท่านได้” นางสุภาพรกล่าว