BKIH เข้าตลาดหุ้น 18 มิ.ย. 67 แย้มดีลลงทุนแพลตฟอร์ม “เทเลเมดิซีน”

กรุงเทพประกันภัย

ซีอีโอ “กรุงเทพประกันภัย” คาดส่ง “บีเคไอ โฮลดิ้งส์” เข้าตลาดหุ้น 18 มิ.ย. 67 แย้มดีลลงทุนเฟสแรก “แพลตฟอร์มเทเลเมดิซีน” มองโอกาสเจ๊งยาก ตั้งเป้าเบี้ยปีนี้โต 8% วางกลยุทธ์เป็นปีแห่ง Regenerative เล็งบริหารระดับเงินกองทุน 200-250% พร้อมขนทัพสินค้าใหม่ชิงเบี้ยในตลาด

วันที่ 6 เมษายน 2567 ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ภาพใหญ่ของบริษัทคือการทรานส์ฟอร์มไปสู่ความเป็น “บมจ.บีเคไอ โฮลดิ้งส์” หรือ BKIH ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้มีการเสนอซื้อขายหุ้นตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2567 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ในลักษณะ “แลกหุ้น” ในสัดส่วน 1 หุ้น BKIH ต่อ 1 หุ้น BKI ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-5 มิถุนายน 2567 (45 วันทำการ)

BKIH เข้าตลาดหุ้น 18 มิ.ย. 67

หลังจากที่มีการดำเนินการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เสร็จเรียบร้อย จะมีการถอนหุ้น BKI ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนำหุ้น BKIH เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทน คาดการณ์ว่าในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2567 หรือประมาณวันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2567 โดยมีทุนจดทะเบียน 106.47 ล้านบาท

สำหรับภาพการลงทุนของ BKIH นับจากนี้นั้น ในระยะแรกการลงทุนใหญ่ที่สุดคือการลงทุนในบริษัทกรุงเทพประกันภัย (บริษัทหลักในกลุ่ม BKIH) แต่อย่างไรก็ดีช่วงเวลา 1-2 ปีจากนี้ จะเป็นช่วงของการที่ BKIH ต้องศึกษาการลงทุน โดยหาผู้เชี่ยชาญในกิจการเหล่านั้นและมีการวิเคราะห์การลงทุนอย่างแท้จริง ทั้งในธุรกิจประกันภัย ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวโยงกับประกันภัย หรืออาจจะไม่เกี่ยวข้องก็ได้

แย้มดีลลงทุนแพลตฟอร์ม “เทเลเมดิซีน”

ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการวางแผนการลงทุนในธุรกิจอินชัวร์เทค เป็นลักษณะการเข้าไปร่วมทุนในกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้ว โดยมุ่งเน้นอินชัวร์เทคในกลุ่มที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ในระยะยาว เช่น telemedicine platform บริการพบแพทย์ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน และโอกาสตายหรือเจ๊งยังไม่เห็น เพราะเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ไม่อยากไปโรงพยาบาล

นอกจากนี้ในอนาคตแพลตฟอร์มหรือเซอร์วิสเหล่านี้ ไม่เพียงแต่พูดคุยกับแพทย์เท่านั้น แต่จะขยายกรอบไปสู่จุดที่เป็น service center ได้อีกด้วย เช่น การรายงานผลตรวจเลือดผ่าน telemedicine platform เป็นต้น ซึ่งแพทย์ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ และยังสามารถให้ยาที่เป็นโรคเรื้อรังต่อไปในอนาคตได้ด้วย

ขณะเดียวกันในอนาคต BKIH ยังมีแผนการตั้งธุรกิจใหม่ขึ้นมาและหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนอีกด้วย

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน และคุณชัย โสภณพนิช
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน และคุณชัย โสภณพนิช

“หลายคนถามว่าทำไมเราไม่ขยายหรือเพิ่มทุนให้มากกว่านี้ ต้องบอกว่าขณะนี้เรายังไม่คิดจะมีการเพิ่มทุน เพราะยังไม่มีแผนลงทุนอะไรที่มีขนาดใหญ่ โดยธุรกิจหลักของ BKIH ยังคงเป็นบริษัทกรุงเทพประกันภัย ซึ่งการจะมีบริษัทลูกอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมทุนหรือจัดตั้งธุรกิจใหม่ จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการศึกษาและวางแผนการลงทุนอย่างดี เพื่อในอนาคตผู้ถือหุ้นทึ่เคยถือหุ้น BKI ก็จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในธุรกิจอื่นด้วย” ดร.อภิสิทธิ์กล่าว

กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 (ม.ค.-ธ.ค. 2566) บริษัทกรุงเทพประกันภัยมีผลการดำเนินงานดังนี้

  • เบี้ยประกันภัยรับรวม 29,915.7 ล้านบาท เติบโต 12.1%
  • กำไรรับประกันภัย 2,070.1 ล้านบาท เติบโต 129.6%
  • รายได้สุทธิจากการลงทุน 1,299.5 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 3,043.8 ล้านบาท เติบโต 576.8% (สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 77 ปี)

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 5.50 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ทำให้รวมทั้งปี 2566 จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 16.75 บาท

บริหารระดับเงินกองทุน 200-250%

ทั้งนี้ยืนหยัดความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) อยู่ที่ 185.9% สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด 140% ซึ่งมองดูแล้วอาจจะไม่สูงมากนัก เพราะว่าค่า CAR เป็นตัวสะท้อนถึงความเพียงพอของเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงเท่านั้น การมีมากเกินไปไม่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน อย่างไรก็ตามโดยทิศทางของบริษัทจะบริหารจัดการค่า CAR ให้อยู่ระหว่าง 200-250%

“ค่า CAR ขณะนี้ที่ต่ำกว่า 200% เป็นผลกระทบจากโควิดที่จ่ายเราเงินออกไปจากกระเป๋า 13,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่มีผลต่อความเสี่ยงสะสมของหุ้น เพราะบริษัทกรุงเทพประกันภัยถือหุ้นหลักอยู่ทั้งหมด 3 ตัวคือ 1.บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) 2.บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ 3.บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ราคาหุ้น BH พุ่งขึ้นสูง ซึ่งผลจากราคาที่พุ่งสูง จะทำให้ค่า CAR ของบริษัทยิ่งต่ำ เพราะในการคำนวณจะถือว่ามีความเสี่ยงจากการลงทุนสูงขึ้น แต่จริง ๆ เป็นในเชิงประโยชน์มากกว่า เพราะเป็นหุ้นในกลุ่ม strategic partner” ดร.อภิสิทธิ์กล่าว

และปัจจุบันยังรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงในระดับเคริตเรตติ้ง A- (Stable) (ณ เดือน พ.ย. 2566) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

ปี 2567 ตั้งเป้าเบี้ยโต 8%

ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2567 บริษัทได้ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 32,500 ล้านบาท เติบโต 8% จากปี 2566 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 13,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% และเบี้ยประกันภัยน็อนมอเตอร์ 18,900 ล้านบาท สัดส่วน 57% โดยช่องทางขายหลัก ประกอบด้วย ช่องทางโบรกเกอร์ใหญ่สุด (งานส่วนใหญ่คืองานรับประกันโครงการอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างโครงการใหญ่) สัดส่วน 27% ตามมาด้วยช่องทางลูกค้าตรง (งานลูกค้าองค์การและรายย่อย) สัดส่วน 40% ที่เหลือจะเป็นช่องทางสถาบันการเงินและตัวแทน

“ปีนี้บริษัทวางกลยุทธ์ 2024 Year of Transformation and Embracing Regenerative Approach towards Sustainability หลังจากในปี 2566 เป็นปีแห่งการ Resilience พลิกฟื้นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กลับไปสู่จุดที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าเดิมในทุกมิติ ผ่านการปลูกฝัง Mindset แก่บุคลากรให้เรียนรู้จากวิกฤต เพื่อให้เกิดการพัฒนาและปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างจิตสำนึกความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้บริษัทสามารถสร้างเบี้ยประกันภัยและผลกำไรให้เติบโตได้อย่างโดดเด่นเป็นประวัติการณ์”

ปีแห่ง Regenerative

โดยในปี 2567 บริษัทได้พัฒนาต่อยอดสู่การเป็นปีแห่ง Regenerative ซึ่งหมายถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่บริษัท จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบเชิงบวกจากผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเพิ่มเติมจากคุณค่าที่เคยได้รับ ซึ่งผลกระทบเชิงบวกนั้นจะช่วยชดเชย ซ่อมเสริม หรือพลิกฟื้นสิ่งที่เคยสูญเสีย หรือบกพร่องให้กลับสู่สภาพปกติ

ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือคุณภาพชีวิต ซึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวังนั้น นอกจากจะเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการบริการที่เหนือความคาดหวัง สามารถตอบโจทย์ทุก Pain Point ของลูกค้าและคู่ค้า ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยแล้ว ยังช่วยสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอีกด้วย

ดร.อภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมยกระดับนวัตกรรมการบริการให้ดียิ่งขึ้น นำมาซึ่งการสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและคู่ค้า

โดยจะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อรองรับโครงสร้างประชากรไทยและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับความเสี่ยงต่าง ๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance พร้อมส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า

  • ประกันรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า

พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยบริษัทได้พัฒนาแผนประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัย 55-75 ปี ที่ชื่นชอบขับรถด้วยตนเอง ซึ่งนอกจากจะได้รับความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่น ๆ ได้อย่างครอบคลุม รองรับกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อมอบความอุ่นใจให้ผู้สูงวัยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดจนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล

อาทิ เงินชดเชยกายภาพบำบัด เงินชดเชยค่าเวชภัณฑ์คงทนใช้ภายนอกร่างกาย (เวชภัณฑ์ 2) ที่จำเป็นต้องใช้หลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน รถเข็นผู้ป่วย เฝือกพยุงคอ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริการ Nursing Care Service at Home ด้วยการมีบุคลากรทางการแพทย์มาดูแลลูกค้าถึงบ้านอีกด้วย

  • ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย

ด้วยเทรนด์ Pet Humanization ที่กำลังมาแรง ประชาชนให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันมากขึ้น กรุงเทพประกันภัยเข้าใจในความต้องการของลูกค้า จึงมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ทุกแผนประกันภัย

ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าที่ต่ออายุ ด้วยความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง และกรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง โดยไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มแต่อย่างใด

  • ประกันภัยสุขภาพ (เพิ่มความคุ้มครองจิตเวช)

ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่แน่นอน เปราะบาง และมีแรงกดดันมากขึ้น บริษัทฯ จึงมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของผู้คนในสังคม ผ่านแผนประกันภัยสุขภาพที่มอบความคุ้มครองทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยจะมีการเพิ่มความคุ้มครอง เช่น การตรวจรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ (Mental Health) การดูแลโดยพยาบาลเฝ้าไข้พิเศษ การรักษาโดยแพทย์ทางเลือก การตรวจสุขภาพ เงินชดเชยรายวันระหว่างการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

อันเนื่องมาจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย โดยมีแผนประกันภัยให้ลูกค้าเลือกตามความเหมาะสม ทุนประกันภัยตั้งแต่ 300,000-1,000,000 บาท รับประกันภัยอายุ 16-70 ปี และสามารถต่ออายุได้ถึง 80 ปี

  • ประกันภัยสุขภาพ ผ่าน Telemedicine

วิกฤตโควิด-19 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคพลิกโฉมไปอย่างรวดเร็ว บริการแพทย์ทางไกลในรูปแบบ Telemedicine จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

โดยบริษัทเตรียมนำเสนอแผนประกันภัยสุขภาพ สำหรับ Telemedicine ซึ่งจะเป็นการปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Clicknic ที่รองรับถึง 55 อาการของโรคที่สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ทางไกลได้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ เจ็บคอ ผื่นคัน ตาเจ็บ ฯลฯ

พร้อมช่วยลดความกังวลด้วยบริการจัดส่งยาให้ถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมงสำหรับในเขตกรุงเทพฯ และเฟสถัดไปในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้ บริษัทจะยกระดับบริการด้าน Telemedicine ด้วยการขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงบริการปรึกษาแพทย์ทางไกลสำหรับการตรวจรักษา อาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ทำให้ประชาชนต้องประสบกับภาวะความเครียด ซึ่งก่อให้เกิดโรคทั้งทางร่างกายและจิตใจ

  • ประกันภัยสำหรับคอนโดฯ

ด้วยรูปแบบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนอยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทจึงได้พัฒนาแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับคอนโดฯให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในคอนโดมิเนียมอันมีสาเหตุจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากลมพายุ ลูกเห็บ หรือน้ำท่วม รวมถึงคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดเหตุภายในคอนโดมิเนียม

และกรณีความเสียหายจากการถูกโจรกรรมที่มีวงเงินความคุ้มครองตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท เพื่อเพิ่มความสบายใจให้แก่ลูกค้า อีกทั้งยังครอบคลุมถึงความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก เช่น กรณีน้ำรั่วซึมไปยังห้องอื่น ๆ จนเกิดความเสียหาย ฯลฯ โดยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 1,290 บาท

นอกจากนี้บริษัทมุ่งพัฒนานวัตกรรมการบริการที่เหนือความคาดหวัง สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย รวมทั้งดูแลเอาใจใส่ในทุกความต้องการของลูกค้า

  • ระบบติดตามสถานะการดำเนินงาน (Progress Tracking)

ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพ มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดี รวดเร็วและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบติดตามสถานะการดำเนินงาน (Progress Tracking) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าให้สามารถตรวจสอบสถานะในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะครอบคลุมทั้งงานด้านรับประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย และงานสินไหมทดแทน เช่น ตรวจสอบสถานะผลการตรวจสภาพรถยนต์ ขั้นตอนการจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย

รวมไปถึงการตรวจสอบสถานะการเคลมสินไหมทดแทนว่าอยู่ในขั้นตอนใด เช่น การรับเอกสารการเคลม การตรวจสอบเอกสารการเคลม การประเมินราคา การจัดซ่อม การส่งมอบรถ การอนุมัติค่าสินไหมทดแทน และการโอนค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะด้านสินไหมทดแทนยานยนต์ (Motor Claims) ได้ โดยผ่านช่องทาง LINE @bangkokinsurance

และลำดับถัดไปจะขยายช่องทางการให้บริการผ่าน Mobile Application และเพิ่มเติมบริการให้ครอบคลุมงานด้านรับประกันภัย งานสินไหมทดแทนทั่วไป (Non-Motor Claims) และทางด้านการเงิน ทั้งนี้ สำหรับตัวแทนและนายหน้าซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทฯ สามารถตรวจสอบสถานะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง Web Partner

  • AI Outbound Voice Chatbot

จากความใส่ใจและคำนึงถึงลูกค้าในทุกๆ ด้าน นำมาสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้ในการแจ้งเตือนการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ลูกค้าทางโทรศัพท์ โดยระบบดังกล่าวจะสื่อสารกับลูกค้าด้วยน้ำเสียงเสมือนจริง ที่มากับความพร้อมในการตอบคำถามและให้ข้อมูล

เกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยของลูกค้า รวมถึงช่องทางการชำระเงินหรือเรื่องอื่น ๆ ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในเรื่องดังกล่าว นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการต่ออายุเพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังส่งเสริมให้บริษัทเพิ่มศักยภาพในการทำงานจากการที่ AI สามารถจัดสรรงานให้เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยดูแลลูกค้าที่ต้องการรับบริการด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาส 3/2567

  • Cognitive Customer Portal

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็วและฉับไว พร้อมสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า บริษัทจึงได้นำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างตรงใจมากยิ่งขึ้น ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากการติดต่อของลูกค้าในช่องทางต่าง ๆ ทั้งทางโทรศัพท์และสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โดยจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าและประมวลผลออกมาเป็นประเภทหมวดหมู่อย่างชัดเจน เช่น การติดตามงานด้านรับประกันภัย งานด้านสินไหมทดแทน การชำระเงิน ข้อเสนอแนะเชิงบวกและเชิงลบ

ตลอดจนข้อร้องเรียนต่าง ๆ ซึ่งระบบ Cognitive Customer Portal จะช่วยให้บริษัทสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านพฤติกรรมและประสบการณ์การใช้งาน นอกจากนี้ ยังสามารถเรียกดูข้อมูลเชิงสถิติในรูปแบบ Dashboard เพื่อการติดตามผล สรุปปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องนำมาปรับปรุง พัฒนา และแก้ไขให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าต่อไป