ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมาตรการรัฐหนุนฟันด์โฟลว์ปีนี้ “พลิกบวก” ได้

ตลาดหลักทรัพย์-เล่นหุ้น

ตลาดหลักทรัพย์ มองฟันด์โฟลว์ปีนี้ไหลกลับมาเป็นบวกได้ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ขณะที่เดือนมีนาคมนี้ ตลาดหุ้นไทย ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่พลิกบวกเป็นเดือนที่ 7 และภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก

วันที่ 9 เมษายน 2567 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ ทิศทางของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะสามารถไหลกลับมาเป็นบวกได้โดยขึ้นอยู่กับ 1. สภาวะเศรษฐกิจ 2. เรื่องอัตราดอกเบี้ย 3. ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะเป็นตัวสำคัญมากในการดึงฟันด์โฟลว์ และ 4. เศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ในโลกเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวจากประเทศอื่น ๆ ดังนั้นการที่นักลงทุนจะเคลื่อนเงินทุนขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเป็นอย่างไรบ้าง

“จะเห็นได้ว่าในปีนี้เริ่มเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่เดือนมีนาคมก็ไหลออก ผมมองว่านโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐที่จะมีการใช้จ่ายได้มากขึ้นจะช่วยทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาได้ จากการที่มองว่าจะมีการลงทุนในประเทศมากขึ้น”

ทั้งนี้ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ มองว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังเหนื่อย จากที่คิดว่าปีนี้ความไม่แน่นอนจะน้อยลง แต่ก็ยังมีเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาเสมอ จากเดิมที่นึกว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางค่อนข้างชัดเจนแล้ว ทั้งในยุโรป แต่ตอนนี้มาตรงข้ามประเทศไทย จึงเป็นอะไรที่ทำให้เซอร์ไพรส์ได้เสมอ ถ้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่มีอะไรที่ผิดความคาดหมายอีก คิดว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว

ส่วนความไม่สงบในพม่านั้น ยอมว่าไทยได้รับผลกระทบ แต่ผลกระทบระหว่างการค้าระหว่างไทยกับพม่าอาจจะยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย และอาเซียน ซึ่งต้องติดตามกันในระยะยาวว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ส่วนผลการประชุม กนง.ในวันที่ 10 เมษายนนี้ น่าจะเห็นการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นต่อการตัดสินใจของ กนง.

ขณะที่ การเพิ่มเวลาซื้อขายในช่วงเที่ยงวันอีก 30 นาที เพื่อทำให้เวลาการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มักจะมาจากต่างประเทศ การที่ไม่ได้เพิ่มเวลาเทรดในตอนเช้าเพราะว่าตลาดหุ้นไทยเปิดหลังจากตลาดอื่น 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ ส่วนตอนเย็นไทยเป็นตลาดสุดท้ายที่ปิดจึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายตอนเย็น

สำหรับ กรณีที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เสนอแนวคิดอยากให้มีผู้ลงทุนเข้ามาร่วมเป็นกรรมการในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น มีความเป็นไปได้แน่นอน เนื่องจากโครงสร้างของบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ มาจากการที่แต่ละองค์กรในตลาดทุนไทย ส่งชื่อให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อคัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ากรรมการที่มาจากฝั่ง ก.ล.ต. หลายท่านมาจากฝั่งที่เป็นนักลงทุนสถาบัน ฝั่งกฎหมาย และบริษัทจดทะเบียน จึงขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนจะมีการส่งรายชื่อเข้ามาเพื่อทำการคัดเลือก

ด้าน นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือน มี.ค. 67 การประชุมสองสภาของจีนได้ตั้งเป้าการเติบโต GDP ในปี 2567 อยู่ที่ 5% อีกทั้งทางการจีนเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน มี.ค. เพิ่มเป็น 50.8 จากระดับ 49.1 ในเดือน ก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 66 ซึ่งเป็นช่วงหลังยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด-19

ซึ่งการกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะยิ่งสนับสนุนให้การส่งออกสินค้าและบริการของไทย รวมถึงการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น โดยนักวิเคราะห์เริ่มปรับประมาณการกำไรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด

โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค. 67 SET Index ปิดที่ 1,377.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศเกี่ยวกับการรายงานตัวเลขส่งออกของไทยที่เป็นบวกเป็นเดือนที่ 7 และการท่องเที่ยวที่คึกคัก ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวในไตรมาส 1/67 สูงถึง 9.3 ล้านคน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจีนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งอาจจะได้รับอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจจีนดีขึ้น บวกกับวีซ่าฟรีที่เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม เป็น 2 ปัจจัยแรกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่สะท้อนจากธุรกิจท่องเที่ยวก็ดีขึ้นมาก

ส่วนในไตรมาสแรกปี 2567 เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลง แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย แต่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ลดลงตามที่ธนาคารกลางหลายแห่งคาดหวัง ทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศแตกต่างกันไป

โดยตัวเลขของตลาดแรงงานสหรัฐ ล่าสุด การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น และ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ มีส่วนทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงช้ากว่าที่นักวิเคราะห์คาด แม้ Fed ได้ประกาศว่ายังมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ผู้ลงทุนกังวลว่า FED อาจชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดีหุ้นขนาดกลางและเล็กได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น