ธปท. เปิดรายงาน กนง. รอบล่าสุด ไขคำตอบ ทำไมมติให้ลดดอกเบี้ยเหลือแค่ 1 เสียง

ธปท.

ธปท. เปิดรายงาน กนง. รอบล่าสุด มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 6 ต่อ 1 เสียง จากครั้งก่อน 5 ต่อ 2 เสียง เผยมุมมอง-ข้อกังวลของคณะกรรมการ

วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 3/2567 วันที่ 7 มิถุนายน และ 12 มิถุนายน 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2567

โดยการประชุมดังกล่าว มีกรรมการที่เข้าร่วมประชุม 7 ราย ประกอบด้วย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤฒิ (ประธาน) นางอสิศรา มหาสันทนะ (รองประธาน) นางรุ่ง มัลลิกะมาส นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายรพี สุจริตกุล นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส และนายสันติธาร เสถียรไทย

ทั้งนี้ คณะกรรมการมีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี (รอบก่อนมติ 5 ต่อ 2) โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี คณะกรรมการเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งในไตรมาสที่ 2

ขณะที่การส่งออกขยายตัวในระดับต่ำ โดยสินค้าส่งออกบางกลุ่มมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% ในปี 2567 และ 3.0% ในปี 2568 มีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่งชาติและค่าใช้จ่ายต่อคนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน และ 39.5 ล้านคนในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ

(2) การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะหมวดบริการ แม้ชะลอลงจากปีก่อนหน้า มองไปข้างหน้า การบริโภคยังมีแนวโน้มขยายตัวจากแรงสนับสนุนของการจ้างงานและรายได้ครัวเรือนที่ทยอยฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลุ่มรายได้สูงที่ยังคงอยู่ในทิศทางบวก

ADVERTISMENT

(3) การใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกลับมาเร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 หลัง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 มีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ดี

การส่งออกและภาคกรผลิตยังขยายตัวในระดับต่ำ จากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องแต่ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและภาคการผลิต รวมทั้งแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐในระยะต่อไป
ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มใกล้เคียงเดิมอยู่ที่ 0.6% ในปี 2567 และ 1.3% ในปี 2568

ADVERTISMENT

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ในปี 2567 และ 0.9 ในปี 2568 โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดกลับมาเป็นบวกตามที่ประมาณการไว้ ส่วนหนึ่งจากผลของฐานต่ำของเงินเฟ้อหมวดพลังงาน แต่จะกลับไปต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาสที่ 3 ก่อนจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ภาวะการเงินโดยรวมทรงตัวและไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ต้องติดตามธุรกิจขนาดเล็กบางกลุ่มและครัวเรือนรายได้น้อยที่รายได้ ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และเผชิญภาวะการเงินตึงตัว ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่คณะกรรมการมีความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และเห็นว่าการให้สินเชื่อควรสอดคล้องกับกระบวนการ debt deleveraging เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในระยะยาว
รวมถึงตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการจึงสนับสนุนการใช้มาตรการที่ตรงจุดเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามศักยภาพและรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน

กรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและมาตรการภาครัฐ โดยคณะกรรมการจะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

โดยประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการอภิปราย มีดังนี้

คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีความเสี่ยงลดลง สะท้อนจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่สูงกว่าคาดในไตรมาสที่ 1 การเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี คณะกรรมการมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวที่แตกต่างกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ (K-shaped recovery) โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการผลิตที่ยังขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ

รวมถึงต้องเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจาก (1) ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของไทย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกจำกัด

และ (2) ปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะสินค้าล้นตลาดจากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีน ประกอบกับสินค้าส่งออกบางกลุ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น หมวดยานยนต์ที่ได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากอุปสงค์โลกที่ชะลอลง และสินค้ากลุ่มโซลาร์เซลล์ที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในระยะต่อไป

นอกจากนี้ คณะกรรมการมีความกังวลเกี่ยวกับความแตกต่างของการฟื้นตัวในมิติรายได้ครัวเรือน โดยครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยบางกลุ่มอาจถูกฉุดรั้งด้วยภาระหนี้ ขณะที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเห็นควรให้ติดตามการฟื้นตัวภาคการส่งออกและครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยข้างต้น ในการประเมินภาพเศรษฐกิจในระยะต่อไป