
เออร์โก บริษัทในเครือ Munich Re ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A
วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เออร์โก กรุ๊ป (ERGO) กลุ่มธุรกิจประกันภัยขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศเยอรมัน ดำเนินธุรกิจในตลาดยุโรปและเอเชียกว่า 25 ประเทศ เป็นบริษัทในเครือ มิวนิก รี (Munich Re) กลุ่มธุรกิจผู้รับประกันภัยต่อและรับประกันความเสี่ยงชั้นนำของโลก ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เออร์โก กรุ๊ป ในสัดส่วน 75%
โดยช่วงที่ผ่านมา ERGO ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทไทยศรีประกันภัย ของกลุ่มตระกูล “พานิชชีวะ” จนกระทั่งในปี 2566 ทาง ERGO ได้ปิดดีลควบรวมกิจการกับ บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) และประมาณในเดือน มี.ค. 2566 ได้ใช้เงินสดกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น NSI และเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหุ้นไทย
และได้เปิดดำเนินงานให้บริการลูกค้าภายใต้ตราสัญลักษณ์ ERGO อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 เป็นต้นมา
เออร์โก ควบรวมขึ้นเบอร์ 8
ล่าสุด “ดร.ทิลล์ โบห์เมอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นัดสื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษในวาระครบรอบ 1 ปีของบริษัท โดยเล่าว่า เออร์โกประกันภัย ได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดประกันภัยของประเทศไทยจากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีรายได้เป็นอันดับที่ 30 ของตลาดประกันภัยในขณะนั้น
ต่อมาในปี 2566 ได้รับโอนกิจการทั้งหมดจาก บมจ.นำสินประกันภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจประกันภัย ที่จะช่วยให้ เออร์โกประกันภัย เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และได้เปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า “เออร์โกประกันภัย” พร้อมด้วยตราสัญลักษณ์ “ERGO” เมื่อเดือน มิ.ย. 2566
และก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทประกันวินาศภัย ที่มีรายได้สูงเป็นอันดับที่ 8 ของตลาดประกันวินาศภัยในประเทศไทย โดยปิดสิ้นปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 402.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.82%
โดยมีสัดส่วนการรับประกันภัย แบ่งเป็นการประกันภัยรถยนต์ 66.99% และการประกันภัยที่ไม่ใช่รถ 33.01% ส่วนนี้แยกออกเป็น 1. ประกันภัยเบ็ดเตล็ด 19.28% 2. ประกันภัยทรัพย์สิน 9.80% 3. ประกันภัยวิศวกรรม 2.15% 4. ประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง 1.76% และ 5. อื่น ๆ อีก 0.03%
ขยายสาขา-เป้าเบี้ย 1.2 หมื่นล้าน
โดยปีที่แล้วบริษัทมีสาขาอยู่ทั้งหมด 44 สาขา 8 สำนักงานตัวแทน โดยได้ขยายสาขาสำหรับขายกรมธรรม์ประกันภัยบนห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพมากขึ้น และในปี 2567 มีแผนจะเปิดสาขาให้ได้มากกว่า 100 สาขา ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ เบื้องต้นคาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวม คาดว่าจะแตะระดับ 12,000 ล้านบาท เติบโต 15.2% YOY โดยจะมาจากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรถยนต์เป็นหลัก โดยเฉพาะในส่วนประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) โดยมุ่งเน้นเจาะลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น
ซึ่งจะมีการแผนพัฒนาการให้บริการในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการรับแจ้งอุบัติเหตุที่พร้อมขยายการให้บริการด้วยการกระจายพนักงานเคลมให้ถึงที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด รวมถึงจัดอบรมพนักงานศูนย์รับแจ้งเหตุเพื่อพัฒนาทักษะในการสนทนา โดยเฉพาะกับลูกค้าคู่สนทนาที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุและกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้เบี้ยส่วนอื่น ๆ คาดว่าจะมาจากทั้งประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยภาคธุรกิจ
“การเจาะประกัน พ.ร.บ. ค่าเบี้ยไม่แพง และฐานลูกค้ากว้าง ดังนั้นมองว่าจะสามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้ดี”
ครอบคลุมพอร์ตรถหรู-บรรทุก-อีโคคาร์
ดร.ทิลล์ กล่าวอีกว่า พอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทถือว่าสัดส่วนการรับประกันที่มีความเหมาะสมมาก โดยงานรับประกันของบริษัทนำสินประกันภัยก่อนหน้านี้ มีพอร์ตใหญ่รถบรรทุก และประกัน พ.ร.บ. รวมทั้งมีจุดแข็งด้านการบริการเคลมสินไหม
ในส่วนของงานบริษัทไทยศรีประกันภัย ที่รับประกันพอร์ตใหญ่เป็นรถหรู และได้พอร์ตงานประกันรถยนต์อีโคคาร์จากบริษัทสินมั่นคงประกันภัย รวมทั้งได้พนักงานอีก 800 ราย เข้ามาเสริมกำลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ จนทำให้บริษัทมีพนักงานทั้งหมด 1,700 ราย
ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A
ดร.ทิลล์ โบห์เมอร์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายต่อไปคือ การก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ซึ่งอาจจะยังไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน โดยคาดว่าการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) ประมาณ 10% ต่อปี ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องประเมินสถานการณ์ปีต่อปี หากเกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้น
ขณะเดียวกันหากเห็นโอกาสในการทำ M&A กับบริษัทประกันวินาศภัยรายอื่น ที่ดูเข้ากับบริษัทได้ในทุกด้าน ๆ และเป็นจังหวะที่เหมาะสม ก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งในการพิจารณาเพื่อทำให้บริษัทไปสู่เป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น