กุลธรเคอร์บี้ เทรดหุ้นวันสุดท้าย 26 ก.ค.นี้ ก่อนถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ แขวนเครื่องหมาย SP

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งเตือนเปิดให้ซื้อขายหุ้น KKC วันสุดท้าย 26 ก.ค.นี้ ก่อนแขวนเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายอีกครั้งตั้งแต่ 30 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะแก้ปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ได้

วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งเตือนว่า วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 นี้ จะเป็นวันสุดท้ายของการซื้อขายหลักทรัพย์ KKC หรือ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ KKC อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ไปจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากเหตุส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์และดำเนินการให้บริษัทมีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้แจ้งปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบ และส่งมอบให้งานการผลิตได้ตามแผนการผลิตของบริษัท โดยยืนยันว่าเป็นการหยุดเฉพาะส่วนงานที่ไม่มีเนื้องานให้ทำงาน หน่วยงานอื่นที่มีเนื้องานให้ทำงาน พนักงานยังปฏิบัติงานตามปกติ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา KKC ประสบปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ โดยเมื่อเดือนกันยายน 2566 บริษัทเคยแจ้งหยุดกิจการชั่วคราว 10 วันทำการมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมาตรการดำเนินการให้แก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องปรับปรุงฐานะการเงิน

โดยในเดือนพฤษภาคม 2567 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ขึ้นเครื่องหมาย NC และ SP ขณะที่ทางบริษัทแจ้งว่าจะจัดทำแผนเพื่อดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอน ได้แก่ ปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 เสนอขายตราสารหนี้เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ และมีแผนปฏิรูปการดำเนินงานเพื่อให้มีกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ

ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้ซื้อขายได้เป็นการชั่วคราว มาตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2567 และจะสิ้นสุดในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 นี้ หลังจากก่อนหน้านั้นได้ให้หยุดการซื้อขายชั่วคราว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ เมื่อครบระยะเวลาดังกล่าว (คือ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของ KKC โดยขึ้นเครื่องหมาย SP จนกว่าบริษัทจะแก้ไขให้มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ หรือหากไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ภายในเวลาที่กำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะเสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทต่อไป