ดร.นิเวศน์ โชว์ 4 หุ้น Super Stock เวียดนาม ผลตอบแทนแจ่ม 28.2%

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” กูรูนักลงทุนวีไอ โชว์พอร์ตลงทุน 4 หุ้น Super Stock เวียดนาม ในรอบ 2 ปี 7 เดือน เฉลี่ยผลตอบแทน 28.2% สวนทางดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามติดลบ 17.3%

วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า ผลงานของหุ้นแต่ละตัวตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2565 จนถึงล่าสุดวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ของหุ้นที่ถูกคิดว่าจะเป็นหุ้น “ซูเปอร์สต๊อก” 4 ตัว นั่นก็คือ ผลตอบแทนราคาของหุ้น MWG ที่ติดลบประมาณ 6.1% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน หุ้น VRE ติดลบ 47.8%

ในขณะที่หุ้น FPT บวกถึง 114.3% และหุ้น ACV บวก 52.5% เฉลี่ยแล้วหุ้นซุูเปอร์สต๊อกให้ผลตอบแทน 28.2% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ติดลบถึง 17.3% ดังนั้นภาพโดยรวมแล้ว หุ้นซูเปอร์สต๊อกทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือกว่าดัชนีถึง 45.5% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน

อย่างไรก็ตาม หุ้น MWG มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อย ซึ่งทำให้มีข้อกังวลว่าในอีกกว่า 7 ปีข้างหน้าจะต้องทำผลงานที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพื่อที่จะสามารถเป็นซูเปอร์สต๊อกที่แท้จริง ในส่วนของหุ้น VRE นั้น ต้องถือว่าน่าผิดหวังมาก เพราะหุ้นตกลงไปถึงเกือบ 50% เหตุผลสำคัญน่าจะมาจากการที่เป็นบริษัทในกลุ่มวินกรุ๊ป ซึ่งกำลังประสบกับปัญหาเรื่องธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้าลงทุนในหุ้น VRE ที่มีรายการเกี่ยวพันกับหุ้นวินกรุ๊ปค่อนข้างมาก

“ผลงานการลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีพอสมควร แต่ถ้าจะว่าไปก็อาจจะไม่คุ้มมากนักสำหรับคนที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก เทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดที่ทำได้ง่ายกว่าและไม่ต้องดูแลอะไรเลย เพียงแต่ต้องเสียค่าบริหารกองทุนจำนวนไม่มากนัก”

บทเรียนที่สำคัญจากผลงานของหุ้นกลุ่มซูเปอร์สต๊อก 4 ตัวก็คือ ถ้านักลงทุนหวังจะรวยหรือ “เปลี่ยนชีวิต” จากการลงทุนได้จริง ๆ จากคนชั้นกลางที่ “ไม่ได้มีต้นทุนจากทางบ้าน” กลายเป็นเศรษฐีโดยไม่ต้องเสี่ยงและทำงานหนักมากเกินไปหรือต้อง “โกง” โดยการ “กินเงินคนอื่น” เช่นการปั่นหุ้นและ/หรือการทำผิดกฎหมาย หนทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือการมองหา “ซูเปอร์สต๊อก” ที่ให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมและถือให้ยาวที่สุด

Advertisment

และในระหว่างนั้นก็ต้องคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและปรับพอร์ตซูเปอร์สต๊อกถ้าจำเป็น เนื่องจากบางครั้งมันก็อาจจะมีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก หรืออาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสภาพแวดล้อมที่ทำให้มันไม่เป็นซูเปอร์สต๊อกอีกต่อไปอย่างในกรณีของหุ้น VRE

นอกจากนั้น เราก็จะต้องคอยดูว่าหุ้นตัวไหนจะมีศักยภาพที่โดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น “สุดยอดหุ้นหมายเลข 1” ที่เราอาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักในพอร์ตมากกว่าหุ้นสุดยอดอื่น อย่างในกรณีของหุ้น FPT หรือ ACV เพราะด้วยวิธีนี้ เราอาจจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนทบต้นระยะยาวให้สูงขึ้นกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในระดับ +10% ต่อปีขึ้นไป แบบที่บัฟเฟตต์เคยตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก ๆ ของการบริหารพอร์ตการลงทุนของตนเอง

Advertisment

“ผมเองก็ยังต้องเตือนว่า ไม่ว่าหุ้นจะดีแค่ไหนในสายตาของเรา สิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ หน้าที่ของเราก็คือ ต้องกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นั่นก็คือ ไม่ใช้มาร์จิ้นและการกู้เงินมาลงทุน พอร์ตหุ้นที่ถือควรจะมีหุ้นหลัก ๆ ประมาณ 5-6 ตัว และตัวที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ควรจะเกิน 50% ของพอร์ตในทุกช่วงเวลา และนี่ก็คือสูตรของการลงทุนที่เคยเปลี่ยนชีวิตผมที่ตลาดหุ้นไทยที่ผมกำลังใช้อีกครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามเกือบ 30 ปีต่อมา

ผมไม่ได้หวังที่จะได้ผลตอบแทนแบบเดิม เพราะผมคงไม่ ‘โชคดี’ แบบนั้นอีกในชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 แต่ก็เชื่อว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับ 10% ต่อปีแบบทบต้นไปอีก 10 ปี และถ้าเป็นแบบนั้น ผมเองก็พอใจแล้ว ส่วนที่เกินจากนั้นก็คงต้องอาศัย ‘โชค’ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่” ดร.นิเวศน์กล่าว