
เลขาธิการสภาพัฒน์ ดันเม็ดเงินลงทุนภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ 1 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี’68 เผย 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญปีหน้า นโยบายกีดกันการค้าทรัมป์-ความขัดแย้งตะวันออกกลาง หวั่นสะเทือนราคาพลังงานสูง ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องระวังหนัก ประเมินปีหน้าดอกเบี้ยขาลงช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เร่งเครื่องสารพัดโครงการลงทุนทั่วประเทศประคองเศรษฐกิจ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ ชี้ครึ่งหลังปี’68 เศรษฐกิจไทยต้องเจอความเสี่ยงใหญ่ ดันนโยบายการเงินรับบท “กองหน้า” แทนนโยบายการคลังที่ต้องทยอยลดขาดดุล เผยอุตสาหกรรมยานยนต์-อสังหาฯต้องเหนื่อยอีก 3-5 ปี
2 ปัจจัยเสี่ยงใหญ่ปี’68
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ประเมินทิศทางเศรษฐกิจปี 2568 ว่า ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้มากกว่า 3% ส่วนปี 2568 คาดว่าทั้งปีจะโตเฉลี่ย 2.8% (ช่วงคาดการณ์ 2.3-3.3%) สำหรับปีหน้ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
โดยเฉพาะ 2 เรื่องสําคัญจากภายนอกประเทศ คือ 1.นโยบายการค้าของสหรัฐที่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน ทุกคนทราบเพียงว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะจากประเทศจีน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด ซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะรุนแรงแค่ไหนจะขึ้นกับรายละเอียดที่จะออกมา
“ยกตัวอย่าง สมมุติว่า สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีนที่ผลิตจากประเทศจีนเท่านั้น สินค้าที่ผลิตจากไทยก็อาจไม่ได้รับผลกระทบ แต่เราก็มีความเสี่ยง ที่ว่าไทยเกินดุลสหรัฐค่อนข้างเยอะ และเกินดุลมาตลอด ดังนั้น ถ้ามาตรการออกมาเป็นลักษณะสินค้าที่จะเข้าสู่สหรัฐ ต้องไม่มีชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีน
อันนี้จะเริ่มมีความรุนแรง และเริ่มมีผลกระทบกับไทย หรือกรณีออกมาว่า สินค้าที่จะเข้าสู่สหรัฐ ถ้าเป็นผู้ผลิตจากจีนไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็ตาม อันนี้ก็จะยิ่งหนักสุด ก็จะมีผลกับสินค้าที่เราส่งออก”
โดยหากสหรัฐออกมาตรการชุดแรกในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ก็อาจจะมีปัญหาในช่วงครึ่งปีหลัง จึงต้องมีความระมัดระวังและติดตามสถานการณ์
ปัจจัยเสี่ยงที่ 2.ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งสถานการณ์ปรับเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว แต่ยังโชคดีที่ขณะนี้ยังไม่ได้กระทบกับราคาน้ำมัน แต่หากสถานการณ์ลุกลามจนกระทบกับพื้นที่การผลิตน้ำมัน ก็จะมีผลต่อราคาพลังงานที่อาจพุ่งสูงขึ้น จึงต้องติดตาม และต้องเตรียมมาตรการรองรับ
นำเข้า-ส่งออกต้องระวังหนัก
นายดนุชากล่าวว่า ปีหน้าภาคธุรกิจต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนําเข้า เพราะมาตรการการค้าของสหรัฐ จะทำให้เกิดความผันผวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนธุรกิจที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว ก็น่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยจะลดลงหรือไม่นั้น นายดนุชากล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องถามธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่หากพูดถึงแนวโน้มปีหน้า ก็มีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะปรับลดลงได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของธนาคารกลางแต่ละประเทศ
และมาตรการที่คาดว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมา 2-3 มาตรการหลัก คือ 1.ลดภาษีนิติบุคคลภายในประเทศ เพื่อที่จะสร้างกําลังซื้อ 2.ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งแสดงว่าสินค้าที่จะเข้าสู่ประเทศสหรัฐจะแพงขึ้น ก็จะไปกดดันเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกันสหรัฐอาจต้องมีการขาดดุลมากขึ้น ก็จะไปกระทบเรื่องการเงินการคลังอีก ซึ่งคงต้องมาดูว่าสุดท้ายแล้ว เงินเฟ้อสหรัฐที่เริ่มมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ หากมีมาตรการออกมาจะกระทบทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นใหม่หรือไม่ เพราะหากเงินเฟ้อสหรัฐขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ได้ลดลงอย่างที่คาดการณ์กัน ก็เป็นความเสี่ยง
“แต่ถ้ามองแนวโน้มขณะนี้ ก็คิดว่าดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งในแง่ของภาระค่าใช้จ่ายของคน หรือภาคธุรกิจ ก็จะลดลง ก็น่าจะทําให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น”
หนี้ครัวเรือนยังโจทย์ใหญ่
เลขาธิการสภาพัฒน์กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ก็ยังเป็นส่วนที่ฉุดรั้งการพัฒนาและการเจริญเติบโตของประเทศในปีหน้า แต่จากมาตรการแก้หนี้ที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับกระทรวงการคลังแถลงไป จะช่วยลูกหนี้ได้ประมาณเกือบ 2 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหา และยังมีโอกาสที่จะรอด ก็จะช่วยผ่อนคลายลดผลกระทบไปได้ส่วนหนึ่ง
“ถ้าลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ดําเนินการตามมาตรการนี้ไปเรื่อย ๆ ในช่วง 3 ปี น่าจะทําให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ สามารถที่จะลดผลกระทบ หรือว่าแบ่งเบาภาระของตัวเองจากปัญหาหนี้ที่มีอยู่ได้”
ขณะที่การบริโภคปีหน้า ภาพรวมยังขยายตัวได้ แต่ปัญหาสําคัญคือประชาชนส่วนใหญ่อาจจะมีเรื่องของการ “ขาดรายได้” ซึ่งต้องมาดูว่า จะมีวิธีการอย่างไรที่จะสร้างงานเพิ่มเติม ขณะที่การลงทุนของภาครัฐ ยังคงเป็นปัจจัยสําคัญอันหนึ่งที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ส่วนภาคการส่งออกน่าจะยังไปได้ แต่ภาคการผลิตต้องดูผลกระทบจากหนี้ครัวเรือน หรือการปล่อยสินเชื่อ ว่าจะยังมีผลกระทบอยู่แค่ไหน
“ปีหน้าจะเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาแล้ว เพราะว่าผู้ผลิตจีนที่เข้าร่วมมาตรการ EV3 สร้างโรงงานแล้วก็เริ่มที่จะผลิตออกมาขาย ฉะนั้นภาคการผลิตที่เป็นยานยนต์ไฟฟ้า สถานการณ์อาจเริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ในส่วนรถยนต์สันดาป อาจต้องมีการปรับตัวพอสมควร ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐก็มีมาตรการออกไปช่วยแล้ว ในแง่ของการปรับตัวไปทํารถยนต์ไฮบริด หรือปลั๊ก-อิน ไฮบริดมากขึ้น”
ดันเม็ดเงินลงทุนรัฐ 1 ล้านล้าน
นายดนุชากล่าวว่า ปีหน้าการลงทุนภาครัฐจะเป็นตัวสำคัญ โดยจะมีเม็ดเงินทั้งจากงบประมาณภาครัฐและงบฯลงทุนของรัฐวิสาหกิจรวมแล้วราว 1 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบฯลงทุนรัฐวิสาหกิจราว 250,000-260,000 ล้านบาท และเป็นงบประมาณและงบฯเหลื่อมปีที่ต้องเร่งเบิกจ่ายอีกราว 700,000-800,000 ล้านบาท
“เราดูไตรมาสที่ผ่านมา จะเห็นว่าพอเงินรัฐออกดันเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี ฉะนั้นถ้าเร่งเบิกจ่ายกันต่อเนื่อง จะช่วยดันให้เศรษฐกิจโตได้”
สำหรับโครงการลงทุนสำคัญของรัฐที่ต้องขับเคลื่อนต่อ ขณะนี้ก็มีโครงการรถไฟทางคู่ในเส้นทางที่เหลือ ที่อยู่ระหว่างการกลั่นกรอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ทําไปได้ค่อนข้างมากแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมโครงการเชื่อมโยงรถไฟของไทยกับจีน หรือรถไฟความเร็วสูง
“รถไฟไทย-จีน ส่วนแรกทําไปถึงนครราชสีมา ส่วนที่จะต่อไปหนองคาย ก็คงต้องมีการทํางานพูดคุยกับทางจีนแล้วก็ สปป.ลาว เพื่อที่จะเชื่อมต่อกันให้ได้”
เร่งแผน “พลังงานทดแทน”
เลขาฯสภาพัฒน์กล่าวว่า นอกจากนี้ก็ต้องมีการพิจารณาลงทุนโครงการระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวที่มีความแออัด หรือการขยายท่าอากาศยานในต่างจังหวัด อย่างเช่น ภูเก็ต เป็นต้น รวมถึงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ ก็ยังต้องดำเนินการเพื่อดูแลภาคเกษตร รวมถึงช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมด้วย
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องมีการเร่งทํา ก็คือ เรื่องการลงทุนพลังงานทดแทน ที่อยู่ในไปป์ไลน์ แต่การดําเนินงานที่ผ่านมาอาจยังมีข้อติดขัด แต่ว่าเรื่องนี้ถ้าเร่งทําได้จะเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของภาคอุตสาหกรรม ที่จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เข้ามา อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงอุตสาหกรรมเดิม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดพวกนี้ด้วย
นอกจากนี้ ก็ต้องเร่งดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น ซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศ
แก้ปัญหาราคาที่ดิน EEC
ขณะเดียวกัน คงจะต้องผลักดันการลงทุนในพื้นที่อีอีซีด้วย เพราะเป็นสิ่งที่เริ่มมาแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะเข้ามาที่พื้นที่นี้ อย่างไรก็ดี ต้องแก้ปัญหาเรื่องของราคาที่ดิน เพราะว่าเสียงจากทางภาคเอกชนที่เข้ามาคือราคาที่ดินในพื้นที่ค่อนข้างแพง ดังนั้น อาจจะต้องดูว่าจะทําอย่างไรให้มีที่ดินที่ราคาไม่สูงมาก ซึ่งอาจจะต้องมีที่ดินของรัฐ ที่กรมธนารักษ์รับผิดชอบอยู่มาเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุน
นายดนุชากล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินว่า โครงการนี้เป็นโครงการสําคัญที่เป็นแพ็กเกจหนึ่งของการพัฒนาพื้นที่อีอีซี ซึ่งปัญหาของโครงการนี้ เป็นเรื่องของสเกลการลงทุนที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการพูดคุยเกี่ยวกับการปรับรูปแบบของสัญญา ปรับเรื่องเงินที่จะต้องจ่าย ก็อยู่ระหว่างการพูดคุยกัน เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้
“เป็นเรื่องสําคัญ แต่ขณะเดียวกันการจะปรับปรุงตัวเงื่อนไขโครงการ ก็ต้องดูในแง่ของข้อกฎหมาย ดูในแง่ของความเป็นธรรมด้วย ถ้าเราปรับเงื่อนไขออกมาแล้ว ส่งผลให้เกิดเรื่อง เช่น ถ้าเงื่อนไขแบบนี้ย้อนไปตอนประมูล คนที่เข้าประมูลไม่ได้บนเงื่อนไขปัจจุบัน อาจจะถูกร้องได้เหมือนกัน ว่าถ้าปรับเงื่อนไขเป็นแบบนี้ ผู้ประมูลรายอื่นก็อาจจะให้ราคาได้ดีกว่านี้ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งต้องใช้เวลา”
กาสิโน : หวั่นใช้ กม.ไม่รัดกุม
ส่วนโครงการที่เป็นนโยบายรัฐบาลอย่าง Entertainment Complex เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ตนเองยังไม่เห็นรายละเอียดของร่างกฎหมาย คงต้องดูรายละเอียดก่อน ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้ แต่เรื่องนี้คงต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นเรื่องสําคัญมาก
“การทํา Entertainment Complex ถ้าบังคับใช้กฎหมายได้ไม่รัดกุม 100% จะเกิดตัว Negative Impact ขึ้นมาพอสมควร ฉะนั้น การบังคับใช้กฎหมายจะเป็นเรื่องสําคัญ”
สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า คงต้องดูในรายละเอียดค่อนข้างมาก เพราะไม่ใช่การทําท่าเรืออย่างเดียว แต่ต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ก็คือ ท่าเรือกับนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอะไรที่จะสามารถสร้างวอลุ่มของการขนส่งได้มากเพียงพอที่จะดึงดูดสายเดินเรือเข้ามาใช้ท่าเรือใหม่ได้
“อาจจะเริ่มเป็นเฟส คือ เฟสแรกอาจทําฝั่งตะวันตกก่อน แล้วก็ดูเรื่องการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม ดูเรื่องของการทําทางรถไฟวิ่งเข้าไปที่ท่าเรือ จริง ๆ แล้วในช่วงแรกอาจต้องคุยกับทางจีนด้วย ในการที่จะดึงสินค้าบางส่วนให้ลงมาผ่านทางรถไฟวิ่งมาออกที่ระนอง จะช่วยเพิ่มวอลุ่มเพิ่มความน่าสนใจของท่าเรือ ซึ่งขณะนี้น่าจะศึกษาใกล้เสร็จแล้ว กระทรวงคมนาคมก็เป็นคนศึกษา”
ครึ่งแรกปี’68 ไม่น่าห่วง
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ประเมินว่าขยายตัวได้เกือบ 3% โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ยังมีแรงส่งจากภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เร่งลงทุนในงบฯค้างท่อจากช่วงปลายปี 2567 ทำให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกของปี 2568 ไม่น่าห่วงมากนัก
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะสามารถสร้างการเติบโตใหม่ได้อย่างไร และการเติบโตใหม่จะอยู่ตรงไหน เนื่องจากไทยจะเจอแรงบีบจากนโยบายสหรัฐ และนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
รวมถึงนโยบายการคลังของไทยจะเริ่มถอยจากบทบาทกองหน้าในปี 2567 มาเป็นกองหลัง จากการส่งสัญญาณการรักษาวินัยทางการคลัง และทยอยลดการขาดดุลงบประมาณผ่านการลดค่าใช้จ่ายและปรับโครงสร้างภาษี
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างภาษีของภาครัฐจะทำได้ 2 อย่าง คือ 1.การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นฐานภาษีที่ค่อนข้างใหญ่ แต่จะมีข้อเสีย คือ คนรวยและคนจนต้องจ่ายอัตราเท่ากัน แม้ว่าจะเก็บในอัตรา 10% ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะไทยอยู่ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนค่อนข้างสูง
และ 2.ภาษีนิติบุคคล หากมีการเก็บอัตราสูง จะทำให้ธุรกิจไม่อยากลงทุน และหากผลตอบแทนไม่เติบโตจะทำให้รัฐเก็บภาษีไม่ได้ แต่ความหวังของรัฐบาลต้องการให้จีดีพีเติบโต เพื่อให้มีเงินมาช่วยเหลือคนจน
นโยบายการเงินรับบท “กองหน้า”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ในช่วงที่นโยบายการคลังเริ่มลดบทบาทจาก “กองหน้า” ทำให้ช่วงครึ่งหลังปี 2568 นโยบายการเงินจะต้องขึ้นมาเล่นบทบาท “กองหน้า” แทน ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงมั่นใจตัวเอง และยังไม่ได้ลงมาอยู่ในสนาม แต่หาก ธปท.เห็นภาพเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกระท่อนกระแท่นจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่
เพราะตอนนี้นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยภายในสิ้นปี 2568 ไปอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี ขณะที่ในการประชุมวันที่ 18 ธันวาคมนี้ กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2.25% ต่อปี
ชู “อาหาร-เวลเนส” จุดแข็งไทย
ประธานสภาพัฒน์กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามองว่า ไทยจะต้องหาจุดแข็งในเซ็กเตอร์ที่มีอยู่ เช่น ทุเรียน ที่จีนมีความต้องการสูง โดยภาครัฐไม่ต้องสนับสนุน ซึ่งปัจจุบันยอดขายทุเรียนใกล้เคียงยอดส่งออกข้าว โดยจุดแข็งของไทย คือ “อาหาร” และเป็นจุดอ่อนของจีน ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะหาจุดอ่อนของจีน
ซึ่งวันนี้จีนเป็นผู้นำเข้าอาหารมากที่สุด และจะเป็น Net Import Food ตลอดไป นอกจากนี้ ไทยยังมีเรื่องท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ (Wellness) ที่สะท้อนผ่านหุ้นโรงพยาบาลที่มีมูลค่าสูง เป็นการบอกถึงการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ การลดกฎเกณฑ์การทำธุรกิจต่าง ๆ และการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้สามารถอยู่รอด หรือปรับโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงการจัดการด้านพลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนับสนุนการเติบโตของไทยได้ โดยคำถามวันนี้จะขุดเจาะน้ำมันกับกัมพูชา การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ จะต้องเริ่มคิดเพราะในการสร้างต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ซึ่งดีกว่าการอุดหนุนราคาน้ำมันที่ต้องแบกหนี้มหาศาล
รถ-อสังหาฯเหนื่อยต่อ 3-5 ปี
สำหรับอุตสาหกรรมที่ยังคงเผชิญความท้าทายในปี 2568 ยังคงเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ถูกกดดันจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งใช้ซัพพลายเชนน้อยชิ้นกว่ารถยนต์สันดาป ดังนั้น อุตสาหกรรมนี้จะโดนดาวน์ไซซ์ และต้องเหนื่อยต่อไปอีก 3-5 ปี
รวมถึงอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง ธปท.ต้องการพยายามทำกระบวนการลดหนี้ ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่สูงระดับ 90% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ และแก้หนี้เก่า ซึ่งจะเห็นการทำแบบนี้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี
“มาตรการแก้หนี้ที่ออกมา เป็นการช่วยลูกหนี้ที่เพิ่งเป็นหนี้เสีย มูลหนี้ไม่ได้สูงมาก แต่จำนวนรายเยอะ อย่างไรก็ดี ไม่ได้ตอบโจทย์ภาคใหญ่ เพราะการแก้หนี้ เจ้าหนี้จะต้องดูรายได้ในอนาคตของลูกหนี้ หากลูกหนี้ไม่มีรายได้จะเจรจายากมาก ดังนั้นการทำให้เศรษฐกิจโต สร้างงานจะแก้หนี้ได้ เพราะคนมีรายได้”
เศรษฐกิจโลกไม่ง่าย
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ในแง่นโยบายการเงินสหรัฐ มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในครึ่งแรกของปี 2568 และจะหยุดดูนโยบายทรัมป์ว่าไปในทิศทางใด ซึ่งอาจจะเห็นเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2569 ได้เช่นกัน เพราะนโยบายการกีดกันทางการค้าเป็นการสร้างต้นทุนมหาศาล เพราะขาดแคลนแรงงานและเงินเฟ้อจุดติดแล้ว ก็ปะทุได้ไม่ยาก
ขณะที่นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนมาแน่นอน แม้ว่าจีนจะเข้ามาผลิตสินค้าในไทย หรือประเทศที่ 3 และส่งออกไปในสหรัฐก็ตาม แต่ผู้ดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ จะนับว่าแม้ว่ามีชิ้นส่วนของจีน 1 ชิ้นจะนับเป็นสินค้าจีนทั้งหมด และหากดูตัวเลขไทยส่งออกไปสหรัฐ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และนำเข้า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยเกินดุล 4 หมื่นล้านดอลลาร์ จึงต้องระวังเช่นกัน
“ปี 2568 จะเป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับภาพเศรษฐกิจโลก แม้จีดีพีสหรัฐจะเติบโตดีกว่าประเทศอื่น ๆ ขณะที่นโยบายการเงินยังอยู่ในทิศทางผ่อนคลาย แต่การมาของทรัมป์ แม้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวในทิศทางที่ดี และซอฟต์เลนดิ้งได้ แต่อาจสวนทางกับเศรษฐกิจยุโรป ที่ยังมีความเสี่ยงจากการชะลอตัว ขณะที่จีนปัจจุบันเผชิญปัญหาเงินเฟ้อต่ำจนอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ดังนั้นใน 3 กลุ่มประเทศเศรษฐกิจโดยรวมถือว่าไม่ค่อยแข็งแรง”