ส่องเทรนด์ “ดอกเบี้ย-ค่าเงิน” ปี68 บาทผันผวนหนัก-ส่งออกเสี่ยงสูง

bath

ส่องแนวโน้มดอกเบี้ย-ค่าเงินปี’68 เผชิญปัจจัยเสี่ยงนโยบายการค้าสหรัฐ “กรุงไทย” ชี้กระแทกเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง “ทีทีบี” คาดปีหน้า กนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง นโยบายทรัมป์ 2.0 เอฟเฟ็กต์เงินบาทไทยผันผวนหนัก “ส่งออก-นำเข้า” เสี่ยงสูง ดร.สมประวิณ-SCB หั่นจีดีพีปี’68 เหลือ 2.4% ชี้เศรษฐกิจไทย “ขาลง”

จีดีพีไตรมาส 1/68 โต 4%

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.7-2.8% ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่เติบโตได้ในระดับ 2.8% ซึ่งปัจจัยการเติบโตในปีหน้าจะมาจากแรงส่งในประเทศที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่ทำให้สภาพคล่องรายได้ลงสู่การจ้างงานดีขึ้น และคาดว่าในไตรมาสที่ 4/67 ยังคงมีโมเมนตัมต่อเนื่องที่น่าจะขยายตัวได้ระดับ 4% และการฟื้นตัวทอดยาวไปถึงไตรมาสที่ 1/68 ที่มองว่าน่าจะยังขยายตัวได้ราว 4%

อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักจะอยู่ที่สหรัฐ ในการดำเนินนโยบายการค้าและเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาสินค้าจีนที่มีความเข้มข้นขึ้น โดยหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีเริ่มดำเนินนโยบายที่ใช้เวลา 6-8 เดือน จะเริ่มเห็นผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวในช่วงกลางปี 2568 ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี และเริ่มเห็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

ครึ่งหลังเจอเสี่ยง “ทรัมป์”

“จากเดิมเราประมาณการเติบโตปี’68 อยู่ที่ 3% ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ามา แต่ตอนนี้ความเสี่ยงเริ่มมีมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกปี’68 และครึ่งปีหลัง จะแตกต่างกัน โดยครึ่งปีแรกยังมีอานิสงส์จากแรงกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ครึ่งหลังจะเริ่มมีความเสี่ยงจากนโยบายสหรัฐเข้ามากระทบให้เห็น เราจึงคาดว่าจีดีพีจะออกมาต่ำกว่า 3% หรือใกล้เคียงปี’67 อยู่ที่ 2.7-2.8%” ดร.พชรพจน์กล่าว

ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เริ่มมีผลกระทบ และเงินเฟ้อต่ำแตะขอบล่าง จึงมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก จากระดับ 2.25% ลงมาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี เนื่องจากผลกระทบภาพเริ่มชัดขึ้นว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงกระแทกจากต่างประเทศ ทำให้นโยบายการเงิน หรือดอกเบี้ย จำเป็นต้องมูฟเร็ว เพราะกว่าจะเริ่มเอฟเฟ็กต์จะใช้ระยะเวลา

ค่าเงินบาท 2 ทิศทาง

ดร.พชรพจน์กล่าวว่า สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในปี 2568 มองว่า เงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ 2 ทิศทาง ในกรณีสหรัฐมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า แต่อีกมุมทรัมป์ไม่ต้องการให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงเกินไป หากน้ำมันราคาไม่สูงขึ้น ทำให้การนำเข้าพลังงานของไทยไม่สูง ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวระดับกลาง ๆ ไม่ได้มีทิศทางชัดเจน ดังนั้น ภายใต้การส่งออกที่ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควรขยายตัวระดับ 1-2% และดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้เกินดุลมาก ทำให้เงินบาทไม่แข็งค่ามากถึงระดับ 32.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์ จากในปี 2567 เงินบาทเคลื่อนไหวต่ำกว่า 34.00 บาทต่อดอลลาร์

ADVERTISMENT

“แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าจนถึงช่วงสงกรานต์ยังพอใช้ได้ โอกาสรีบลดดอกเบี้ยก็น้อยลงไป แม้ว่าเราจะเริ่มเห็นความเสี่ยงจากต่างประเทศ และงบประมาณภาครัฐไม่ได้มีจำกัดแล้ว แต่นโยบายการเงินต้องอ่านเศรษฐกิจดี ๆ แต่เรื่องภาวะการเงินตึงตัวยังมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้ลดดอกเบี้ยได้เช่นกัน”

ปี’68 กนง.ลด ดบ. 2 ครั้ง

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีทีบี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทิศทางนโยบายการเงินในปี 2568 ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจปรับตัวได้แค่ไหน เพราะภาคบริการดีขึ้นแล้ว แต่ภาคการผลิตยังได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน ทั้งนี้ หากประชาชนรายได้กลับมา การดำเนินนโยบายการเงินไม่จำเป็นต้องคลายตัวมากนัก แต่หากรายได้ไม่ฟื้นและหนืด นโยบายการเงินต้องผ่อนคลาย อย่างไรก็ดี เชื่อว่า ธปท.จะมองเรื่องการใช้นโยบายเฉพาะจุดมากกว่าดอกเบี้ย

ADVERTISMENT

ดังนั้น แม้ว่านโยบายการเงินโลกจะเป็นวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แต่นโยบายการเงินไทย คาดว่า กนง.จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ครั้ง ในปี 2568 โดยยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75-2.00% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและการส่งออกกลับมาดี

ค่าเงิน-ทองคำผันผวนมาก

สำหรับประเด็นภาวะการเงินตึงตัว เป็นผลจากรายได้ตึงตัว ซึ่งหากรายได้ประชาชนและบริษัทกลับมา รวมถึงสถาบันการเงินสามารถคุมคุณภาพสินเชื่อได้ จะเห็นการคลายตัวของภาวะการเงินที่ดีขึ้น

“หากจำได้เมื่อ 2 ปีก่อนช่วงโลกปรับดอกเบี้ยขึ้น ไทยจะเจอคำว่า Behind the Curve ปรับช้ากว่าที่อื่น ดังนั้นในช่วงดอกเบี้ยขาลง คงไม่ลงตามแบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งเราคงไม่เห็นดอกเบี้ยลงไปต่ำกว่า 1.75% ต่อปี”

ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทจะเห็นความไม่แน่นอนมากขึ้น เนื่องจากมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) นโยบายทรัมป์ 2.0 และจีน ซึ่งสร้างความอ่อนไหวต่อดอลลาร์ และราคาทองคำที่มีความผันผวนมากขึ้น โดยความผันผวนของค่าเงินจะกว้างขึ้น ทั้งนี้ หากดูค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทภายใน 1 วัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.40-0.50 สตางค์ ปัจจุบันค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 0.80 สตางค์ และคาดว่าภายในปี 2568 ค่าเฉลี่ยจะเพิ่มเป็น 1 บาท ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้นำเข้า-ส่งออก ดังนั้น ผู้ประกอบการควรใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการทำธุรกรรม

“เงินบาท” อ่อนแตะ 35 บาท

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่า ณ สิ้นปี 2568 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่ากว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินเข้าสู่วัฏจักรผ่อนคลายทั่วโลก แต่แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในปี 2568 อาจน้อยกว่าที่ประเมินไว้ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและการค้าภายใต้การบริหารของ ปธน.ทรัมป์ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ มีจังหวะแข็งค่าขึ้นได้เร็ว

ขณะที่ค่าเงินบาทในระยะปานกลางมีแนวโน้มอ่อนค่าขึ้นกว่าในอดีต ตามการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงตามศักยภาพการส่งออกของไทย ผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของไทย สวนทางกับการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่การเกินดุลบริการกำลังเผชิญข้อจำกัดในการเติบโตทั้งในมิติการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ต่อหัว

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากเงินบาทเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างสูง ตามความนิยมซื้อขายหรือสะสมทองคำของผู้บริโภคและนักลงทุนในประเทศ ทำให้ค่าเงินบาทมักจะมีจังหวะผันผวนในบางช่วงสูงถึง 7-10%

เศรษฐกิจไทย “ขาลง”

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มองว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.4% ปรับลงจาก 2.6% โดยเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วง “ขาลง” และ “ชะลอตัว” ลงชัดเจน

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจปรับลดลงกว่าประมาณการ 2.4% อยู่ภายใต้สมมุติฐาน 2 เหตุการณ์ คือ 1.ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รุนแรงกว่าที่คาดจนลุกลามไปประเทศจีน และมากระทบไทยทางตรงและทางอ้อม และ 2.การเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงกับภาวะการเงินตึงตัว โดยอัตราการเติบโตสินเชื่อชะลอตัวลงจากภาคเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ภาคการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ และปี 2568 สินเชื่อจะยังคงชะลอและไปกระทบภาคเศรษฐกิจจริงได้ “วนลูป” เป็นวัฏจักร

ดังนั้น ภายใต้เศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งจากนโยบาย Trump 2.0 ภาวะการเงินตึงตัวมากขึ้น รวมถึงการส่งสัญญาณนโยบายการเงินสหรัฐ ผ่านรายงาน Dot Plot ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการลดดอกเบี้ย จึงมองว่านโยบายการเงินของไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะช่วยลดภาระการเงินตึงตัวและภาระการชำระหนี้ รวมถึงการปรับลดตามดอกเบี้ยโลกที่ปรับลดลงด้วย

เงินทุนไหลออกต่อเนื่อง

ดร.สมประวิณกล่าวว่า อย่างไรก็ดี นโยบายการคลังยังต้องมีส่วนช่วย แม้ว่าบทบาทจะลดลงจากเพดานหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และรัฐบาลต้องการลดการขาดดุลงบประมาณลง 4.5% แต่นโยบายการคลังสามารถทำผ่านได้ 2 ส่วน คือการใช้จ่าย และภาษี ซึ่งการใช้จ่ายอาจจะเพิ่มภาระทางการคลัง แต่ด้านภาษียังสามารถทำได้ โดยการทำผ่านคนที่มีรายได้สูงในการจูงใจลดหย่อนภาษี ซึ่งจะช่วยหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด และการส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยลงจากเดิม มองว่าไม่ได้มีผลกระทบมากนัก แต่จะเห็นดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น

“เรายังมองว่าปีหน้า กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง แม้ว่าในสัญญาณเหมือนจะไม่อยากลด เพราะหากดูเศรษฐกิจในช่วงปกติจะโตได้เฉลี่ย 2.7% แต่ในปี’68 เราโตได้แค่ 2.4% ถือว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเราต้องการนโยบายกระตุ้น และต้องการลดดอกเบี้ยเข้ามาช่วย”

สำหรับปี 2568 คาดว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายจะยังไหลออกต่อเนื่องกดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แต่เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง ตามทิศทางการลดดอกเบี้ยของเฟด และราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคำที่อาจสูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับ มองกรอบปลายปี 2568 อยู่ที่ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์

“เราเห็นเงินบาทอ่อนค่าหลังทรัมป์เข้ามา และอ่อนค่าเยอะกว่าที่คาดการณ์จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งยังจะเห็นการอ่อนค่าไปถึงช่วงครึ่งแรกของปี’68 และทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีได้ตามทิศทางการไหลกลับของฟันด์โฟลว์”