
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองปัจจัยนโยบายการค้าของทรัมป์ จะซ้ำเติมความผันผวนของค่าเงินบาทในปี’68 ให้สูงยิ่งขึ้น แนะผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับสกุลเงินท้องถิ่น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองค่าเงินบาทในปี 2568 จะเผชิญกับความผันผวนสูงขึ้นกว่าช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ที่สูงอยู่ก่อนแล้วจากบริบทเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไป
ขณะที่ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะการกีดกัดทางการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยซ้ำเติมความผันผวนของค่าเงิน แนะการบริหารความเสี่ยงค่าเงิน ผ่านการใช้เงินสกุลท้องถิ่น จะช่วยเตรียมพร้อมในการรองรับผลกระทบของความผันผวนได้บางส่วน เนื่องจากสกุลเงินภูมิภาคส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน ประกอบกับโครงสร้างการค้าของไทยที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการค้าขายในภูมิภาคที่สูง
นอกจากนี้ ในปัจจุบันการสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของทางการมีความชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีเครื่องมือและระบบการจัดการที่พร้อมมากขึ้นสำหรับการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มาพร้อมกับนโยบายกีดกันทางการค้ารอบใหม่ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทางการเงินโลกอย่างมีนัย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ซึ่งภาพดังกล่าวคาดว่าจะมีต่อเนื่องตลอดทั้งปี
โดยเปิดปี 2568 ค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าแตะระดับ 34.80 บาท ก่อนทยอยกลับมาเคลื่อนไหวทิศทางแข็งค่าแตะระดับต่ำสุด 33.60 บาท ขณะที่ปัจจุบันเคลื่อนไหวใกล้เคียงระดับ 33.66 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568) เคลื่อนไหวตามพัฒนาการและความคาดหวังของประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ
ทั้งนี้ ความผันผวนของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยนโยบายของทรัมป์ทั้งหมด แต่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ค่าเงินผันผวนสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากความเสี่ยงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนที่เพิ่มมากขึ้น และศักยภาพการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางมากขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้น โดยมีรายละเอียด
ดังนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับสหรัฐ ที่เปลี่ยนจาก “ลบน้อย” เป็น “ลบมาก” : บริบทดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และภาพดังกล่าวมีแนวโน้มส่งผลต่อเนื่องในปีนี้ หากมาตรการของทรัมป์ ส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐ ค้างในระดับสูง หรือการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้เฟด (Fed) ไม่สามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้มากเท่าที่คาด
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวมากกว่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าไทย
ความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนที่เพิ่มมากขึ้น สัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีบทบาทกับการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2561-2562 ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภาพดังกล่าวจึงลามไปสู่ความความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและค่าเงินหยวนที่สูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และหากเทียบกับภูมิภาค เงินบาทถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับสกุลเงินหยวนสูง ดังนั้นแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจจีนที่เปราะบาง ตลอดจนผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่อเศรษฐกิจจีน จะส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ศักยภาพการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ลดลง และความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า : ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่เปราะบาง โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่การนำเข้าได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนราคาถูก ส่งผลต่อดุลการค้า ตลอดจนภาคการผลิตของไทย
ในส่วนของการท่องเที่ยวไทยยังคงไม่ฟื้นตัวแตะระดับก่อนเกิดโควิด-19 ภาพดังกล่าวส่งผลต่อสัดส่วน ดุลบัญชีเดินสะพัด (CA : Current Account) ต่อ GDP ของไทยในช่วงหลังให้ต่ำลงจากในอดีต ยิ่งไปกว่านั้นเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์ เนื่องจากมีการเกินดุลกับสหรัฐ ในอันดับที่ 12 (ปี 2566) และกลุ่มสินค้าที่ขาดดุลกับสหรัฐ หลายหมวดมีความเกี่ยวข้องกับจีนสูง
แนะการใช้เงินสกุลภูมิภาคในการค้าช่วยลดความผันผวนจากความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลกในระยะข้างหน้า : จากทิศทางความผันผวนของค่าเงินบาทที่เพิ่มสูงขึ้นจากในช่วงอดีต ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ที่จะซ้ำเติมให้ค่าเงินมีความผันผวนยิ่งขึ้นในปี 2568
การใช้เงินสกุลท้องถิ่นสำหรับการค้าระหว่างประเทศสำหรับผู้นำเข้าส่งออก อาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนได้ดีในช่วงนี้ โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงช่วยตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาความผันผวนที่สูงขึ้นของค่าเงินบาทในระยะยาว เนื่องจากเงินบาทเทียบกับสกุลภูมิภาคมีความผันผวนที่ต่ำกว่า ค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ตลอดจนบริบทโครงสร้างการค้าไทยในปัจจุบัน ที่มีสัดส่วนการค้าในภูมิภาคที่สูง ดังนั้น เมื่อค่าเงินบาทและเงินสกุลภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน จะช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ ประกอบกับในระยะหลัง ทางธนาคารกลางได้ส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้น ผ่านการเพิ่มสภาพคล่องเงินสกุลท้องถิ่นในประเทศ ปรับเกณฑ์ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนผลักดันการ Quote ราคาเงินสกุลท้องถิ่นเทียบเงินบาทโดยตรง
ทั้งนี้ พบว่าโครงสร้างประเทศคู่ค้าในปัจจุบันเปิดโอกาสในการใช้เงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้น จากข้อมูลการค้าปี 2567 ไทยมีสัดส่วนมูลค่าการค้ากับประเทศในภูมิภาคในเอเชียถึง 67.2% ซึ่งมีกลุ่มอาเซียนอยู่ในสัดส่วน 20% ขณะที่สัดส่วนกับสหรัฐ มีเพียง 12.3% สวนทางกับสัดส่วนสกุลเงินที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศประมาณ 3ใน 4 ที่ยังคงใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในการชำระค่าสินค้า
อย่างไรก็ดี ทิศทางการใช้เงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากปี 2563 ที่มีสัดส่วน 18.3% เป็น 18.7% ในปี 2567 โดยในกลุ่มอาเซียนมีการเพิ่มขึ้นจาก 23.9% เป็น 24.2% นอกจากนี้ กลุ่มประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีความร่วมมือกับธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้น พบว่า มีสัดส่วนการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อาทิ มาเลเซีย ที่พบว่ามีสัดส่วนการใช้เงินบาทและเงินริงกิตเพิ่มมากขึ้นจาก 14.9% เป็น 17.5%
โดยสรุป การกลับมาของทรัมป์สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโลกและเพิ่มความผันผวน ซึ่งซ้ำเติมค่าเงินบาทที่ผันผวนสูงอยู่แล้วตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด-19
ดังนั้น ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับค่าเงินไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือผู้ที่มีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ ควรติดตามข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม
ทั้งในรูปแบบ FX Forward และ Options ตลอดจนการใช้สกุลเงินภูมิภาค ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากสกุลเงินภูมิภาคส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน ประกอบกับโครงสร้างการค้าของไทยที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการค้าในภูมิภาคที่สูง
นอกจากนี้ ในปัจจุบันการสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของทางการมีความชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีเครื่องมือและระบบการจัดการที่พร้อมมากขึ้นสำหรับการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ