
ททท.เด้งรับกฎหมายสมรสเท่าเทียม อัดแคมเปญ Amazing Romance Month ดึงนักท่องเที่ยว LGBTQ+ คู่รักทั่วโลก เผยเป็นกลุ่มศักยภาพสูง ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายต่อทริปทะลุ 73,535 บาทต่อคน เผยจุดหมายปลายทาง “กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-กระบี่” สุดฮิต
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ และกลุ่ม Romance Tourism (คู่รัก) รู้สึกมั่นใจและตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น

โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และกระบี่ ที่มีความนิยมสูงสุดของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ททท.จึงได้ปรับกลยุทธ์เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ และกลุ่ม Romance Tourism (คู่รัก) ให้มาเยือนประเทศไทยมากขึ้น
โดยข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมการท่องเที่ยวในปี 2567 แสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวกลุ่ม Romance Tourism ซึ่งประกอบด้วย นักท่องเที่ยว LGBTQ+ และคู่ฮันนีมูน มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 73,535 บาทต่อคนต่อทริป หรือเพิ่มขึ้น 37.72% จากปีก่อนหน้า
โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 6,722 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 42.39% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้มักเดินทางบ่อยและต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวที่พิเศษและหรูหรา สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขา
สอดรับกับข้อมูลของการจัดงาน World Travel Market (WTM) งานซื้อขายด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ระบุว่า กลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลกมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.64 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐอเมริกามีการใช้จ่ายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ถึง 6.31 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท
นายศิริปกรณ์กล่าวว่า สำหรับจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Romance Tourism นั้นจากการสำรวจพบว่า กรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดหมาย โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากถึง 62.5%
ขณะที่จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกระบี่ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดจากปีที่แล้ว ส่วนจังหวัดอื่น ๆ เช่น สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ และพังงา ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากขึ้นเช่นกัน
“เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย ปีนี้ ททท.ได้เปิดตัวแคมเปญ Amazing Romance Month ในปี 2568 ซึ่งมุ่งเน้นการดึงดูดคู่รัก LGBTQ+ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยมีกิจกรรมพิเศษที่สนามบินทั่วประเทศ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ รวมถึงการต้อนรับคู่รัก LGBTQ+ ด้วยกิจกรรมพิเศษและของรางวัล รวมถึงการให้บริการที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนี้” นายศิริปกรณ์กล่าวและว่า
การเปิดตัวแคมเปญนี้ยังถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ มากยิ่งขึ้นในอนาคต
นายศิริปกรณ์กล่าวต่อไปว่า การสำรวจพฤติกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่ม LGBTQ+ ในปี 2567 พบว่ามีแนวโน้มการใช้จ่ายสูงกว่าคู่รักทั่วไปถึง 30-40% โดยมีความพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งในเรื่องของที่พักหรูหรา, การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และบริการพิเศษต่าง ๆ ทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในอนาคต
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับคู่รัก LGBTQ+ ทั่วโลก ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศได้อย่างมากในระยะยาว
อย่างไรก็ดี แคมเปญ “Amazing Romance Month” ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่เปิดกว้างและยอมรับทุกเพศทุกวัย สร้างประสบการณ์ที่พิเศษและหลากหลาย
รวมถึงขับเคลื่อนไทยในอนาคต และส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตตลาด LGBTQ+ จะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย