
ไม่มีพลิกโผ สำหรับ 3 กลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เป็นลอตแรก และเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้อนุมัติให้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอชื่อมา คือ 1.บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด 2.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ 3.บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน), WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp.
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 3 ราย มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ และตอบโจทย์ในกลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unserved) หรือเข้าถึงบริการได้น้อย (Underserved) โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก (SSME) และรายย่อย ซึ่งในแต่ละรายมีความโดดเด่นแตกต่างกัน และมีความหลากหลายของการบริการ จะมาช่วยเติมเต็มส่วนที่พร่องในระบบเศรษฐกิจและการเงินให้ดีขึ้น
โดยกลุ่มหนึ่งมีความโดดเด่นในการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีรายเล็ก มีงวดการชำระเงินตรงตามรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยปรับตามกิจกรรม ขณะที่อีกกลุ่มให้สินเชื่อกับกลุ่มรายย่อยที่ประกอบอาชีพ แยกตามธุรกิจ และดอกเบี้ยผันแปรตามธุรกิจ และกลุ่มที่สาม โดดเด่นเรื่องเงินฝาก เป็นต้น
“ธปท.ยืนยันว่า ไม่ได้กังวลในเรื่องของการเอื้อกลุ่มทุนใหญ่ แม้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะดูเป็นธุรกิจรายใหญ่ แต่ ธปท.มีการพิจารณาเป็นไปตามกรอบการกำกับดูแล ซึ่งในการให้ข้อมูล การสัมภาษณ์ และสอบทาน จะมีเส้นขอบ โดยเฉพาะในเรื่องของ Ecosystem ที่ ธปท.ไม่อยากเห็นการปิดกั้น ซึ่งบางรายอาจจะมีระบบ Ecosystem แต่มีการให้คำมั่นสัญญาในกระบวนการคัดเลือก และสื่อสารทุกราย ทั้งนี้ ธปท.จะมีการติดตามเฟสแรกในช่วง 3-5 ปี”
ส่วนกลุ่มที่เป็นธนาคารดั้งเดิมและได้รับคัดเลือกในเชิงได้เปรียบนั้น ดร.รุ่ง กล่าวว่า มองว่าแม้ว่า Virtual Bank จะได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนสาขา และพนักงาน แต่จะมีความเสี่ยงในด้านทุจริต (Fraud) เนื่องจากเป็นการใช้ระบบเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น ความได้เปรียบและเสียเปรียบกันคงไม่มี แต่จะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งอย่างไร
นอกจากนี้ Virtual Bank จะต้องรับผิดชอบลูกค้าอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับธนาคารดั้งเดิม เช่น การร่วมแชร์ความผิด (Share Responsibility) และมาตรการอื่น ๆ เช่น Cyber Security, PDPA เป็นต้น
“การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะมาปิด Gap เพราะจากข้อมูลมีเอสเอ็มอีมากกว่า 50% ไม่มีสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ แบงก์รัฐ หรือคนรายได้น้อยที่พึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ย 100-300% และ ปิด Gap การออม ที่ปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 76% มีเงินออมฉุกเฉินไม่ถึง 6 เดือน โดย ธปท.ต้องการให้กลุ่มเหล่านี้ได้รับบริการที่ดีขึ้น และผู้เล่นใหม่จะนำมาช่วยกระตุ้นให้ผู้เล่นดั้งเดิมให้กระชุ่มกระชวย”
รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า ส่วนการจะเปิดไลเซนส์ให้มากกว่า 3 ราย จะเป็นรอบถัด ๆ ไป แต่จะต้องดูว่า 3 รายแรก มีความแข็งแรงก่อน และตอบโจทย์สิ่งที่ ธปท. อยากเห็น ซึ่งจะต้องประเมินผลในรอบแรกก่อน
นางสาววิภาวิน พรหมบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจากประกาศรายชื่อแล้ว ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก 3 ราย จะมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ 1 ปี
“การเตรียมความพร้อม คือ เตรียมการจัดตั้งบริษัทมหาชน และมีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท และเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ ในการดำเนินธุรกิจ เช่น คน ระบบไอที เพื่อรองรับแผนการดำเนินธุรกิจ และภายหลังจากเตรียมความพร้อมแล้ว จะต้องได้รับการประเมินความพร้อมจาก ธปท.อีกครั้ง”
ขณะที่ธนาคารกรุงไทย (KTB) และพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS (ADVANC) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่า ในขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมในการปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด เพื่อให้สามารถเปิดบริการ Virtual Bank ได้ภายในปี 2569
ฟากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) วิเคราะห์ ว่า ภายใต้การเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ 3 ราย ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2569 (ปัจจุบันทั้งระบบมีธนาคาร อยู่ 28 แห่ง และ Nonbank อีกจำนวนมาก) ท่ามกลางแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ไทย ข้างหน้าไม่เกิน 2-3% ต่อปี และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเกิน 80%
ประกอบกับการจับลูกค้าในกลุ่มที่ยังไม่เคยเข้าถึงระบบสถาบันการเงิน ทำให้ภาพรวมฝ่ายวิจัยประเมินการปล่อยสินเชื่อของ Virtual Bank เป็นไปอย่างระมัดระวัง จึงยังไม่เปลี่ยนแปลงภาพการแข่งขันด้านสินเชื่อและการระดมทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้แตกต่างอย่างมีนัยจากปัจจุบัน
โดยหากเทียบระหว่าง KTB และ SCB ในมุมฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า ทั้งคู่ มีความพร้อม ทั้งฐานทุน ประสบการณ์ในการทำธุรกิจสินเชื่อ รวมถึงด้านเทคโนโลยีจากพันธมิตรที่ร่วมกันจัดตั้ง Virtual Bank อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยมองว่า KTB มีความได้เปรียบกว่า SCB จากฐานข้อมูลที่นำมาใช้ในการพิจารณา Model การปล่อยสินเชื่อของพันธมิตรเพิ่มจากฐานลูกค้าธนาคารในปัจจุบัน
อย่างฐานผู้ใช้มือถือของ ADVANC ราว 50 ล้านคน (และมีแนวโน้มสูงขึ้นจากการจับมือกับกลุ่ม JAS ในการถ่ายทอดบอลสโมสรอังกฤษ และไทยลีก) และ OR (Daily Traffic Visitor ราว 3.9 ล้านคน และมีสถานีบริการน้ำมันในไทย 2,300 สาขา ซึ่งอาจนำเป็นฐานของการตามหนี้ลูกหนี้ในพื้นที่ได้)
ส่วนในฝั่งของ SCB แม้มีจุดเด่นจากพันธมิตรที่ทำ Virtual Bank ในต่างประเทศมาแล้ว ทั้ง Kakao และ Webank แต่ขาดฐานข้อมูลที่แตกต่างจาก SCB มีอยู่ในปัจจุบัน