โบรกฯ แนะลงทุนหุ้นรายตัว ห่วงสงครามการค้าฯ-จีดีพี Q1 กดดันตลาด

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นวันที่ 21 พ.ค.62 ปิดตลาดที่ดัชนี 1,610.49 จุด เพิ่มขึ้น 2.38 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.15% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 50,396.63 ล้านบาท ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ ได้แก่ การประกาศตัวเลขจีดีพี (GDP) ไทยในไตรมาส 1/62 ที่หดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 2.8% อาจส่งผลให้เกิดการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งปี 2562 ขณะที่ไส้ในของจีดีพีในส่วนของการส่งออกยังออกมาไม่ค่อยดีเช่นกัน ส่วนปัจจัยนอกประเทศในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่แม้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะมีการผ่อนผันการการยกเลิกการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ แต่เป็นเพียงการยกเลิกชั่วคราวในระยะเวลา 90 วันเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องติดตามต่อว่าในระยะกลางจะเกิดการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ประเทศหรือไม่

ส่วนการเคลื่อนไหวของดัชนีวันนี้ ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่ยังกดดันตลาดหุ้น รวมถึงยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาดจึงทำให้ดัชนีวันนี้เผชิญแรงขายออกมาเมื่อเคลื่อนไหวขึ้นไปทดสอบดัชนีที่บริเวณ 1,616.55 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาปิดบวกได้เพียง 2.8 จุดเท่านั้น ด้านประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.62) ไว้ที่แนวรับ 1,600 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด โดยจะต้องต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะมีการเปิดประชุมสภาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์ถัดไป และต้องติดตามดูท่าทีของพรรคการเมืองแต่ละพรรค เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดการแบ่งขั้วภายนำพรรคหรือไม่ และพรรคภูมิใจไทยที่ยังสงวนท่าที แต่มีแนวโน้มว่าจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น


ด้านกลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมองว่าในสภาวะตลาดปัจจุบันอาจไม่ใช่จังหวะที่ดีในการเข้าซื้อนัก ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำว่าบริเวณปัจจุบันที่ระหว่างดัชนี 1,600 – 1,620 จุด สามารถซื้อขายทำกำไรได้ โดยเลือกเก็งกำไรในหุ้นรายตัว เช่น JMT เป็นต้น รวมถึงเก็งกำไรในกลุ่มที่ค่อนข้างปลอดภัย เช่น ค้าปลีก CPALL และ HMPRO และกลุ่มที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศ (Global Play) PTTEP ที่โมเมนตัมยังดูดีสามารถซื้อขายเก็งกำไรได้เช่นกัน