บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานราคาทองคำ วันที่ 8 ส.ค. 2562 และแนวโน้มการซื้อขายทองคำ
ปัจจัยพื้นฐาน
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ราคาทองคำวานนี้ทะยานขึ้น 26.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทะลุขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.ปี 2013 จากความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ทวีความรุนแรงและมีแนวโน้มยืดเยื้อ สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง และกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งเงินเยน, ฟรังก์สวิส, ทองคำ รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งแรงซื้อพันธบัตรกดดันบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีให้ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2016 ทั้งนี้ การร่วงลงของบอนด์ยีลด์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ไม่เพียงเท่านั้นราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปในปีนี้ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้มากกว่านี้ และเร็วกว่านี้ และยุติมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณในทันที ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มวานนี้อีก +8.50 ตันสู่ระดับ 845.42 ตันซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี 2 เดือน บ่งชี้กระแสเงินทุนที่ยังคงไหลเข้า ETF ทองคำอย่างต่อเนื่อง สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งของสหรัฐ รวมถึงการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆเพื่อใช้ประเมินทิศทางราคาทองคำ
ปัจจัยทางเทคนิก
หากราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือ 1,503 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ส่งผลให้แรงซื้อเริ่มถูกจำกัด สำหรับวันนี้ประเมินแนวต้านระยะสั้นในโซน 1,503 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ โซน 1,511 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แนวรับนั้นยังประเมินในโซนคือ 1,483 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปที่ 1,472 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน
ชะลอการสะสมทองคำเพิ่มหรือหากต้องการเก็งกำไรฝั่งซื้อ อาจรอการอ่อนตัวลงมาใกล้ 1,483-1,472 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,472 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หรือ เสี่ยงเก็งกำไรฝั่งขายหากเกิดการดีดตัวขึ้นไปใกล้บริเวณ 1,511 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากสามารถยืนเหนือ 1,511 ดอลลาร์ต่อออนซ์)