“ขุนคลัง” ชูสารพัดมาตรการ ปลุกความเชื่อมั่นคนไทย ปลายปีเล็งออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัว โดยระบุว่า ความเชื่อมั่น ช่วยให้เราผ่านพ้นสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ได้

ตามที่ผมได้กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาสสุดท้ายของปีไปแล้ว ซึ่งได้แก่ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชน และมาตรการประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าของ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งขณะนี้อยู่ในเฟส 3 มียอดการจ่ายใช้รวมทั้งหมด 13,922.7 ล้านบาท โดยเป็นยอดการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 1 จำนวน 11,580.2 ล้านบาท และผ่านกระเป๋า 2 ที่จะได้รับเงิน Cash Back คืน เป็นจำนวน 2,342.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นโดยลำดับ โดย “ชิมช้อปใช้” มียอดการใช้จ่ายผ่านร้านค้า ได้แก่ ร้านชิม จำนวน 1,832.5 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 8,648.5 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 160.9 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 3,258.3 ล้านบาท และโรงแรม ที่พัก จำนวน 21.3 ล้านบาท

ด้านมาตรการประกันรายได้เกษตรกร จากข้อมูลของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 21 พ.ย.62 มีการจ่ายเงินให้กับเกษตรกร ในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 รอบที่ 1 แล้ว 542,853 ราย เป็นจำนวนเงิน 13,050 ล้านบาท

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-63 จำนวน 286,003 ราย เป็นเงิน 2,595 ล้านบาท

และโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จ่ายไปแล้ว จำนวน 590,322 ราย เป็นเงิน 3,348 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” ที่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการมีบ้านในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในวงเงินสินเชื่อ ธอส.ประชารัฐ 5 หมื่นล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ซึ่งเปิดให้มีการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ 24 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ยื่นขอกู้แล้วรวม 5,441 ราย วงเงิน 11,110 ล้านบาท และ ธอส.ได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว 2,140 ราย วงเงิน 3,931 ล้านบาท โดยคาดว่าวงเงินรวมทั้งหมดจะมีผู้ยื่นกู้เต็มในช่วงเดือน ก.พ. 63

ด้าน ธ.ออมสิน ยังได้เตรียมออกมาตรการสินเชื่อเคหะตัวใหม่ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยเบื้องต้นได้เตรียมวงเงินปล่อยสินเชื่อไว้ประมาณ 25,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยราว 2.7-2.9% ต่อปี และตั้งเป้าจะเริ่มโครงการได้ในเดือน ธ.ค.62 โดยปรับให้มีเงื่อนไขพิเศษ อาทิ การผ่อนชำระ 10 บาทต่อเดือนในระยะแรก รวมถึงไม่จำกัดเพดานราคาบ้าน เพื่อเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “สินเชื่อประชาชน 555” ที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยในระดับเศรษฐกิจฐานรากกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพ โดยคิดดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน ผ่อนชำระ 5 ปี ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังก็ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลการส่งออกและนำเข้า 10 เดือนของปี 2562 พบว่ามีการส่งออกรวม 2.07 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีก่อน 2.4% การนำเข้าอยู่ที่ 1.99 แสนล้านดอลลาร์ลดลง 4.1%

โดยพบว่าการส่งออกสินค้าในเดือนต.ค. มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการที่สินค้าบางรายการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ สามารถกลับมาขยายตัวได้เป็นบวกในรอบ 13 เดือน

ในส่วนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักของไทยที่ในภาพรวมหดตัวเพียง 0.6% แต่ในตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ 4.8% ญี่ปุ่นขยายตัวได้ 0.5% และตลาดตะวันออกกลาง การส่งออกขยายตัวได้ 3.7% ส่วนตลาดการส่งออกสำคัญที่หดตัวได้แก่ อินเดียที่หดตัว 17.2% จากนโยบายการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลง ตลาด CLMV หดตัว 9.9%ตลาดจีนหดตัว 4.2% เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ก.พาณิชย์ คาดว่าในเดือน พ.ย.การส่งออกจะยังคงหดตัวต่อไปอีก 1 เดือน และจะขยายตัวได้อีกครั้งในเดือน ธ.ค.โดยการส่งออกทั้งปี 62 คาดว่าจะติดลบประมาณ 1.5 – 2%

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าผมมีนัดหารือกับ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (Fetco) ถึงแนวทางการจัดตั้งกองทุนรวมรูปแบบใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุนรวมLTF โดยจะต้องคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับให้มากที่สุด

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนสุดท้ายของปีเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็ง และจับตาสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด ขณะนี้เศรษฐกิจไทยต้องการ “ความเชื่อมั่น” เป็นสิ่งสำคัญ ผมเชื่อว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เราจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ในขณะนี้ไปได้