“พรูเด็นเชียล” ยอมจ่าย 2 หมื่นล้าน ฉีกสัญญา “FWD-TMB” ประเดิมงวดแรก 1.2 หมื่นล้าน เม.ย.นี้

“พรูเด็นเชียล” ทุ่ม 2 หมื่นล้านบาท ฉีกสัญญาแบงก์แอสชัวรันซ์ระหว่างทีเอ็มบีและเอฟดับบลิวดี ผงาดเป็นพันธมิตรเพียงเจ้าเดียว ประเดิมจ่ายงวดแรก 1.2 หมื่นล้านบาท เม.ย.นี้ ด้าน “ปิติ” เผยแบงก์ทีเอ็มบีธนชาตรับค่าเหนื่อยทำดีลระหว่างคนซื้อ-ขายกว่า 1,300 ล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้

นายนิค นิแคนดรู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย เปิดเผยว่า พรูเด็นเชียลฯได้บรรลุข้อตกลงการเข้าซื้อสิทธิตามสัญญาแบงก์แอสชัวรันซ์ระหว่างทีเอ็มบีและเอฟดับบลิวดี เพื่อดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Exclusive Partnership) เพียงรายเดียวกับธนาคารทีเอ็มบีและธนชาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 24,500 ล้านบาท (หรือประมาณ 754 ล้านเหรียญสหรัฐ คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 18 มี.ค.2563) โดยจะแบ่งชำระเป็น 2 งวดคือ ชำระงวดแรกเป็นจำนวนเงิน 12,000 ล้านบาท ในเดือน เม.ย.2563 และส่วนที่เหลือชำระในวันที่ 1 ม.ค.2564 โดยเงินทุนที่ใช้ในการทำธุรกรรมนี้มาจากแหล่งเงินทุนที่มีอยู่เดิมของพรูเด็นเชียล เอเชีย รวมกับแหล่งเงินทุนของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรวมไปถึงสินเชื่อจากแหล่งเงินทุนใหม่ด้วย

“ความร่วมมือนี้จะช่วยต่อยอดธุรกิจกองทุนรวมของเราในประเทศไทย โดยการจับมือกันในครั้งนี้จะเป็นการผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านประกันชีวิต สุขภาพ และการออมของพรูเด็นเชียล เพื่อให้ลูกค้าคนไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ดีที่สุด และตอบโจทย์ครอบคลุมทั้งเรื่องของการให้ความคุ้มครองครอบครัว และการสะสมความมั่งคั่งได้ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เติบโตและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และยังรู้สึกยินดีที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยการลงทุนในตลาดทุนไทยและสร้างโอกาสในการจ้างงาน” นายนิคกล่าว

นายปิติ ตันเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวว่า เมื่อเช้านี้เวลา 05.30 น. ธนาคารพร้อมกับพันธมิตรประกันชีวิต(แบงก์แอสชัวรันซ์) ได้เซ็นสัญญาบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับ บมจ.พรูเด็นเชียลประกันชีวิต(ประเทศไทย) เป็นเวลา 15 ปี ในการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร โดยธนาคารจะได้รับเงินจากการที่พรูเด็นเชียลเข้าซื้อสิทธิตามสัญญาแบงก์แอสชัวรันซ์ระหว่างทีเอ็มบีและเอฟดับบลิวดีมูลค่าประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท และสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน 9 เดือนจากนี้ (1 เม.ย.-31ธ.ค.63) พาร์ตเนอร์เอฟดับบลิวดีประกันชีวิตยังคงขายสินค้าให้กับทีเอ็มบี และพรูเด็นเชียลฯยังขายสินค้าให้กับธนชาต

ก่อนหน้านี้ในงบดุลของธนาคารทีเอ็มบีจะรับรู้รายได้จากเอฟดับบลิวดีจากกว่า 2 หมื่นล้านบาทเหลือ 16,700 ล้านบาท ที่จะค่อยๆ ทยอยออกมาเป็นกำไร หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (1 ม.ค.60-31มี.ค.63) ทีเอ็มบีรับรู้รายได้ไปแล้วจำนวน 4,400 ล้านบาท ฉะนั้นส่วนต่างที่เหลือพรูเด็นเชียลจะจ่ายเพิ่มไปให้เอฟดับบลิวดีเพื่อดำเนินสัญญาใหม่เป็น 15 ปี นอกจากนั้นเนื่องจากทีเอ็มบีและธนชาตเป็นตัวกลางที่ต้องเชื่อมระหว่างคนซื้อคนขาย แบงก์ก็คิดค่าทำงาน(transition) ที่จะต้องจัดการสิ่งต่างๆ จากทั้งพรูเด็นเชียลและเอฟดับบลิวดีรวม 1,300 ล้านบาท ซึ่งจะถือเป็นรายได้ครั้งเดียวที่จะทยอยรับรู้ในปีนี้

และส่วนสุดท้ายที่สำคัญ เวลาที่ทำควบรวมกิจการจะต้องมีค่าความนิยม (goodwill) ซึ่งเป็นส่วนต่างของมูลค่ากิจการตามบัญชี กับมูลค่าที่ซื้อขายกันจริง ที่เกิดจากการตีมูลค่าของบริษัทที่เป็น Book Value กับส่วนที่เกิดขึ้นมาหรือหนี้ต่างๆ ที่มีอยู่ ซึ่งเรื่องสำคัญคือเงื่อนไขที่ผูกกันอยู่ของพรูเด็นเชียลกับธนชาตระบุว่า “ถ้าเกิดผู้ถือหุ้นของแบงก์ธนชาตเปลี่ยนไป พรูเด็นเชียลมีสิทธิ์ที่จะเดินออกและคิดค่าปรับได้” ซึ่งพอทำสัญญานี้จบ สัญญาก็จะเปลี่ยนใหม่หมด โดย goodwill ที่จะต้องอยู่ในงบจะหายไปซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้เงินกองทุนของธนาคารเพิ่มขึ้น 0.74% ถือว่าค่อนข้างมาก

ระหว่างนี้ธนาคารต้องร่วมมือกันเทรนนิ่งให้เจ้าหน้าที่ธนาคารรู้จักสินค้าของพรูเด็นเชียลและให้พรูเด็นเชียลเข้ามาเชื่อมต่อระบบระหว่างกัน

“ปัจจุบันพรูเด็นชียลเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินกิจการอยู่ใน 13 ประเทศทั่วเอเชีย และมีเครือข่ายทั้งในอมเริกาและยุโรป ฉะนั้นการที่นำเงินมาลงทุนในแบงก์ไทยช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้สะท้อนให้ว่าสถานะของแบงก์ไทยยังแข็งแกร่งในมุมมองต่างชาติ” นายปิติกล่าว


นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รายได้ที่ธนชาตรับรู้จากพรูเด็นเชียลประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งดำเนินธุรกิจร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ดีลูกค้าของทั้ง 2 ธนาคาร และพรูเด็นเชียลและเอฟดดับบลิวดียังได้รับบริการเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจนถึงวันที่ 1ม.ค.64 ไม่ต้องกังวล แม้แต่เอฟดับบลิวดีก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ไปเป็นพันธมิตรร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ซึ่งได้ฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ