จับจังหวะโอกาสธุรกิจ ในวิกฤตโควิด-19

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก
โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK

สถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่าง ๆ ล่าสุดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (Unit-ed Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) ประเมินว่าโควิด-19 อาจส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับ GDP ของไทยที่ราว 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)

อย่างไรก็ตาม แม้โควิด-19 จะฉุดรั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งกลับพบว่าสินค้า/ธุรกิจหลายกลุ่มมีความต้องการหรือคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังสร้างโอกาสให้แก่สินค้า/ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน supply chain ทั้งนี้ ความต้องการสินค้า/ธุรกิจจะแตกต่างกันตามระยะเวลาหรือวงจร (cycle) ของการแพร่ระบาด ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจับสัญญาณธุรกิจเพื่อเตรียมวางแผนการผลิต หรือการดำเนินธุรกิจให้ทันและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา

ระยะเริ่มต้น (prepandemic) เริ่มมีการระบาดในบางพื้นที่ ทำให้ประชาชนระมัดระวังและป้องกันตนเองมากขึ้น จึงมีความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัยและการรักษาสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทำความสะอาด ถุงมือยาง อาหารเสริม เป็นต้น (ยอดขายผลิตภัณฑ์สุขอนามัยในร้าน Prime Supermarket ของสิงคโปร์ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากปกติ)

ระยะที่การแพร่ระบาดขยายวงกว้าง (pandemic) มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ลดการเดินทาง การทำงานเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น work from home มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในการสื่อสารเพิ่มขึ้น รวมไปถึงอุปกรณ์สื่อสารด้วย ตลอดจนยังมีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะการใช้บริการ delivery และ e-Commerce เพื่อลดความถี่ในการออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน (ยอดขาย e-Commerce ของจีนโต 154% ในช่วง 24 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2563 ยอดสั่งอาหารออนไลน์ผ่านเว็บไซต์/แอปพลิเคชั่น Deliveroo ของฮ่องกงในเดือนมกราคม 2563 โต 60% จากเดือนก่อนหน้า) นอกจากนี้ เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ก็เป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อนำมาใช้รักษาผู้ป่วย

ระยะที่การระบาดลดลงและควบคุมได้ (post-pandemic) จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มลดลงและสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงกับภาวะปกติ การเดินทางทั้งเพื่อท่องเที่ยวและธุรกิจเริ่มฟื้นตัว อาจมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคของสถานประกอบการหลังปิดดำเนินการไป ผู้ประกอบการควรวางแผนการผลิต การจัดการวัตถุดิบและ supply chain เพื่อรับมือกับความต้องการสินค้า/บริการที่จะกลับมาฟื้นตัวก่อนจะทยอยปรับเข้าสู่ภาวะปกติต่อไป (จากสถิติโดยเฉลี่ยพบว่า หลังจากวิกฤตซาร์สปี 2545-2546 ภูเขาไฟระเบิดที่ไอซ์แลนด์ปี 2553 สึนามิที่ญี่ปุ่นปี 2554 และน้ำท่วมใหญ่ของไทย ปี 2554 ภาคธุรกิจใช้เวลาฟื้นตัวหลังจากเหตุการณ์ยุติราว 3-4 เดือน)

นอกจากนี้ ประเด็นด้านสุขอนามัยจะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจในระยะถัดไป ทั้งการผลิตสินค้าและบริการอาจเกิดการลงทุนด้านระบบ ห้องปฏิบัติการ และกระบวนการผลิต/การบริการ เพื่อตรวจสอบสินค้า/บริการให้ได้มาตรฐานสุขอนามัย และป้องกันการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค/ผู้ใช้บริการ รวมไปถึงคาดว่าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพ เช่น สมุนไพร อาหารเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์กีฬา เป็นต้น จะเป็นที่ต้องการของตลาดภายใต้เทรนด์การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคต่าง ๆ มากขึ้น

ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแต่ละประเทศอยู่ในภาวะที่แตกต่างกัน ความต้องการสินค้าและบริการของแต่ละประเทศจึงแตกต่างกันไปตามระดับการแพร่ระบาด การจับสัญญาณและจังหวะทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างเหมาะสมจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19 รวมถึงควรติดตามมาตรการทางการค้าฉบับพิเศษต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศจะประกาศในช่วงเวลานี้ เพื่อให้การส่งออกดำเนินการได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัดในกระบวนการต่าง ๆ

นอกจากนี้ หลังจากวิกฤตการณ์รอบนี้บรรเทาลง ภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการปรับตัว การสร้างความยืดหยุ่น และการวางแผนสำรองในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการให้ความสำคัญกับสุขอนามัยต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการดำเนินธุรกิจในระยะถัดไป ท่ามกลางแนวโน้มโรคอุบัติใหม่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก

 

Disclaimer : คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK