“หมอบุญ-ศุภวุฒิ” เสนอรัฐบาลปั้น” Medical Tourism”โอกาสประเทศไทยหลังโควิด-19

ผู้บริหาร “รพ.ธนบุรี” ชี้โควิด-19 ส่งผลให้เกิดดีมานด์ด้านบริการดูแลผู้สูงอายุเพื่อลดความเสี่ยงมากขึ้น แนะโรงพยาบาลเตรียมความพร้อมมาตรการความปลอดภัยรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงหลังไวรัสจบ พร้อมเสนอรัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทีละสเต็ป ฝั่ง “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” คาดจีดีพีปีนี้มีแนวโน้มติดลบ 5-10%

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ในประเทศไทยที่มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือว่ารัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีจากความเข้มงวดในการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดเมือง ควบคุมการเดินทางเข้า-ออกประเทศ และการติดตามกลุ่มเสี่ยง ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการประเมินความสามารถในการรับมือกับโรคระบาดได้ดีเป็นอันดับ 6 ของโลก

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่าโควิด-19 จะไม่กลับมาระบาดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น การเข้าสู่ฤดูฝน ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ เป็นต้น โดยคาดว่าหลังโควิด-19 โรงพยาบาลควรเตรียมความพร้อมด้านมาตรการความปลอดภัยและบริการทางการแพทย์เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป

ขณะที่ผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) โดยคนกลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อแล้วมีโอกาสที่อาการจะรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าประชากรในวัยอื่นๆ ดังนั้น มีแนวโน้มว่าจะเกิดความต้องการผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ที่มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยปัจจุบัน THG มีโครงการ Jin Wellbeing County และโรงพยาบาลธนบุรี บูรณา ที่มีบริการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ Elderly Protection Zone และมีมาตรการคัดกรองผู้เข้า-ออกอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ คาดว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลต่อวิถีการดำรงชีวิตของประชาชนที่เป็นบรรทัดฐานใหม่ (New Normal) เกิดความระมัดระวังและมีวินัยในการรักษาสุขอนามัยเพิ่มขึ้น ลดการทำกิจกรรมนอกบ้านและรักษาระยะห่างทางสังคม จึงมีแนวโน้มเห็นการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และการนำมาตรการใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ เทคโนโลยีที่ช่วยลดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาล ฯลฯ ตลอดจนเกิดบริการใหม่ๆ เช่น การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการส่งยาหรือฉีดวัคซีนที่บ้าน เป็นต้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

ส่วนการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการปิดเมือง ควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยยังคงต้องมีมาตรการป้องกันและการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเข้มงวด ขณะที่ความต้องการด้านการรักษาพยาบาลภายในประเทศและจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) มั่นใจว่ายังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพราะแพทย์ไทยมีศักยภาพด้านการรักษาพยาบาลและมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงค่าบริการที่สมเหตุสมผล จึงถือว่าศักยภาพของการแพทย์ไทยมีความพร้อมให้บริการแก่ชาวต่างชาติอย่างเต็มที่

ด้าน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลควรวาง Positioning หรือจุดยืนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และตอกย้ำจุดแข็งของประเทศไทย โดยจะต้องประเมินโครงสร้างทางเศรษฐกิจและศักยภาพด้านการแพทย์และระบบสาธารณสุข เช่น การวาง Positioning ด้านการแพทย์เพื่อรองรับการสร้างรายได้จาก Medical Tourism หรือ Health Tourism และการยกระดับประเทศเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ภาคการผลิตของโลก (Global Supply Chain) เป็นต้น

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ ประเมินว่าจะเกิดบรรทัดฐานใหม่ในด้านเศรษฐกิจ โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เช่น อาจเห็นการท่องเที่ยวแบบเช่าเครื่องบินเหมาลำเป็นกลุ่มเล็ก เนื่องจากต้องการความปลอดภัยในด้านสุขภาพและยังมีความจำเป็นต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นต้น

ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า อัตราจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราเติบโต -5% และหากมีการแพร่ระบาดในอัตราที่เพิ่มขึ้นอาจะทำให้จีดีพีมีอัตราเติบโต -10% โดยคาดว่าแนวโน้มจีดีพีทั่วโลกในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้จะลดลงค่อนข้างมาก และหากมีการแพร่ระบาดรอบใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะทำให้จีดีพีของโลกในปี 2563 มีแนวโน้ม -6% และอาจติดลบอย่างต่อเนื่องถึงปี 2564 จากที่คาดการณ์ว่าจะมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ 5%

สำหรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มดำเนินการ เนื่องจากการล็อกดาวน์เป็นระยะเวลานานจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ โดยกรณีที่ล็อกดาวน์และปิดประเทศเป็นระยะเวลา 1 เดือน ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายๆ ธุรกิจ เช่น ส่งออก -5%, ท่องเที่ยว -30% ถึง -40%, อุตสาหกรรมยานยนต์ -20% และ อสังหาริมทรัพย์ -20% ถึง -30% เป็นต้น

ส่วนกรณีที่มีการล็อกดาวน์เป็นระยะเวลามากกว่า 1 เดือน จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายให้บางธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินการได้ยังคงต้องมีมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ทั้งการตรวจหาผู้ติดเชื้อ การกักตัวกลุ่มเสี่ยง รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด


“มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมาจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผลกระทบต่อสังคม  อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำให้ภาคการผลิตเริ่มกลับมาเดินได้ตามปกติ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวได้จากการบริโภคภายในประเทศและแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว