โควิดทุบตลาดหุ้นกู้ไทยซบหนักในรอบ 5 ปี

ธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารกสิกรไทย ประเมินตลาดออกหุ้นกู้เอกชนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ลดลงครั้งแรกตั้งปี 58 หลัง 4 เดือนแรกลดลง 41% เมื่อปี 62 อยู่ที่ 3.1 แสนล้านบาท เหลืออยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท มั่นใจรักษามาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 20% ของมูลค่าการออกทั้งหมด ย้ำ หุ้นกู้การบินไทย ไม่กระทบตลาด เหตุนักลงทุนรับรู้แล้ว-เน้นลงทุนผลตอบแทนที่ดี-สถานะแกร่ง

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการออกหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนในปีนี้ ประเมินทั้งปีอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท ลดลงจากระดับเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2558 โดยธนาคารยังคงตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ 20% ของมูลค่าการเสนอขายทั้งตลาด ทั้งนี้ ในจำนวน 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ออกใหม่จำนวน 4 แสนล้านบาท และการออกทดแทน (Rollover) 5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกพบว่าตลาดออกหุ้นกู้ระยะยาวเอกชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงถึง 41% จาก 3.1 แสนล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท เป็นผลจากผู้ออกหุ้นกู้หลายรายตัดสินใจเลื่อนหรือชะลอการออกหุ้นกู้จากเดิมที่วางแผนไว้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เพื่อรอสภาพตลาดที่ดีขึ้น บางรายหันไปใช้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์แทนในช่วงที่การออกหุ้นกู้มีความท้าทาย เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การระดมทุนผ่านตราสารหนี้ชะลอออกไปด้วย ขณะที่ผู้ออกหุ้นกู้ในบางอุตสาหกรรม อาทิ ภาคการท่องเที่ยว ภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของความเสี่ยง ปี 2563 มีหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่ครบกำหนดไถ่ถอนสูงถึงประมาณ 6 แสนล้านบาท (ไม่รวมหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่ครบกำหนดกว่า 1 แสนล้านบาท) ในส่วนนี้มีหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ ลงมา จำนวน 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งบางรายอาจมีความยากลำบากในการออกทดแทน (Rollover) หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน หรือแม้แต่ผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่านี้ แต่อยู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ก็อาจเผชิญกับความท้าทายในการออกทดแทนหรือออกหุ้นกู้ใหม่ เนื่องจากความต้องการในตลาดมีไม่มากพอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็จะมากขึ้น โดยในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้ออกหุ้นกู้บางรายที่ขอเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้กับผู้ถือหุ้นกู้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารหรือแม้แต่ภาครัฐ เองก็มีมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเงินทุน รักษาสภาพคล่องของตลาดการเงิน และรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการอย่างกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) และการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนรวมตราสารหนี้ (Mutual Fund Liquidity Facility: MFLF) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ธปท.ต้องการให้เป็นแหล่งเงินสำรองชั่วคราวและแหล่งเงินทุนสุดท้าย (Last Resort)

ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า มาตรการดังกล่าวมีผลดีต่อจิตวิทยาของทั้งตลาด แต่ด้วยกลไกการให้ความช่วยเหลือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก คาดว่าจะมีผู้ออกหุ้นกู้มาขอรับความช่วยเหลือผ่านช่องทางนี้ในจำนวนจำกัด ในขณะที่การใช้เงินช่วยเหลือผ่านมาตรการ MFLF ของกองทุน มีมูลค่าคงค้างสูงสุดเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท และยอดคงค้างล่าสุดลดลงอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท สะท้อนถึงภาวะสภาพคล่องที่ผ่อนคลายมากขึ้น

“ในระยะต่อไป ความไม่แน่นอนจากประเด็นโควิด-19 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาด และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปี เมื่อใดที่การระบาดเริ่มควบคุมได้อย่างถาวร สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยื่งเมื่อมีการค้นพบยารักษา หรือวัคซีนโควิด-19 คาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง เนื่องจากอาจผลักดันให้นักลงทุนกลับไปหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นได้”
นายธิติ กล่าวอีกว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในวงกว้าง แม้กระทั่งตลาดตราสารหนี้เองก็ได้รับผลกระทบในเชิงลบในช่วงที่ผ่านมา เริ่มจากการที่ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบถึงมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน และทำให้ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหน่วยลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และเร่งขายหน่วยลงทุนอย่างหนักในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต้องรีบขายตราสารหนี้ที่ตนถือครองอยู่ในตลาดรอง และยอมขายในราคาต่ำ เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายมาคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ทั้งยังลดการลงทุนตราสารหนี้ออกใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ความต้องการลงทุนชะลอตัวไปด้วย

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2563 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมของไทยทั้งระบบ ลดลงประมาณ 8 แสนล้านบาท หรือ 15.30% จาก 5.4 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับ NAV เมื่อ 4 ปีที่แล้วหรือเมื่อปี 2559 โดยในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว NAV ลดไปถึง 7 แสนล้านบาท เฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินไหลออกสูงถึง 4.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ในปัจจุบัน แรงเทขายกองทุนชะลอลงแล้ว และตลาดเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติมากขึ้น หลังจากที่ทางการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งรัฐบาลหรือธนาคารกลางที่ออกมาตรการทั้งทางการคลังและการเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมปรับตัวดีขึ้นบ้าง และความต้องการลงทุนเริ่มกลับมาดีขึ้น แต่ต้นทุนของการออกหุ้นกู้นั้นไม่ได้ปรับลดลงตาม แต่มาอยู่ในระดับที่เรียกว่า New Normal ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นและส่งผ่านมายังส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spread) ที่เพิ่มขึ้น 0.20–1.75 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 โดย Credit Spread ที่สูงขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับรุ่นอายุ อันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงอุตสาหกรรมของผู้ออก ว่ามีโอกาสได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยหรือจากโควิด-19 มากน้อยเพียงใด

“หากเรทติ้งยิ่งต่ำ จะยิ่งมีผลกับ Credit Spread เพราะทุกคนเริ่มคำนึงถึงคุณภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในจำนวนหุ้นกู้ที่ออกปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ประมาณ 76% จะอยู่ในตระกูลเรทติ้ง A และหลังจากดูสถานการณ์ปีนี้คาดว่าสัดส่วนจะอยู่ในระดับดังกล่าว และในช่วงที่ดอกเบี้ยลดลง จะยังเห็นเครดิตสเปรดสูง”


นายธิติ กล่าวว่า กรณีหุ้นกู้ของสายการบินไทย มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนักลงทุนรับรู้ทั้งหมดแล้ว และจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้โดยรวม เนื่องจากนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบสูง ยังคงมองสถานะที่ดีของหุ้นกู้นั้นๆ ส่วนเรื่องการบินไทยยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องแผนการฟื้นฟูของรัฐบาล