โบรกชู 6 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน อานิสงส์ “นิวนอร์มอล”

REUTERS/Marko Djurica/Illustration

โบรกฯส่อง 6 กลุ่มหุ้นเด่นรับอานิสงส์ “new normal” น่าลงทุนหลังโควิด-19 “บล.เอเซีย พลัส” แนะนำธุรกิจ “ถุงมือยาง-อุปกรณ์ไอที-สื่อสาร” มั่นใจมีปัจจัยบวกชัดเจน ฟาก “บล.เมย์แบงก์ฯ” เชียร์ 3 กลุ่มธุรกิจ “โรงไฟฟ้า-อาหาร-โรงกลั่น” ที่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวหลังเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่วิถีใหม่ (new normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่ามีกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจนด้วยกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้น โดยราคาเหมาะสม (fair value) อยู่ที่ 20.00 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นเหนือราคาเหมาะสมแล้ว จึงแนะนำรอราคาย่อตัวลงมาค่อยเข้าลงทุน

2.ธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีและอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ จากเทรนด์การทำงานที่บ้าน (work from home) ซึ่งส่งผลให้คนหันมาติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าเทรนด์ดังกล่าวจะส่งผลบวกแก่ บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.00 บาท

และ 3.ธุรกิจสื่อสาร เนื่องจากโลกหลังโควิด-19 ผู้คนจะสนใจเทคโนโลยี 5G มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ข้อมูลของค่ายมือถือ โดยหุ้นเด่นแนะนำ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาเหมาะสม 210.00 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ฯ ให้น้ำหนักกับธุรกิจที่จะกลับมาฟื้นตัวได้หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยน่าจะมี บจ.ที่ได้รับอานิสงส์ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เป็นบวกต่อกำไรของกลุ่ม อีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาเป็นหลุมหลบภัย (safe haven) ของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง

นอกจากนี้ คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะกลับมาเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ฯ แนะนำซื้อ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ในตลาดให้ไว้ (IAA consensus) ที่ 40.00 บาท และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) 80.00 บาท

2.กลุ่มอาหาร โดยคาดว่าธุรกิจอาหารจะสามารถกลับมาขยายตลาดได้อีกครั้ง หลังการแพร่ระบาดจบลง รวมถึงความต้องการบริโภคจะเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มแนะนำ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ราคาเหมาะสม 108.00 บาท เนื่องจากราคาปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้น (upside) ได้อีก


และ 3.กลุ่มโรงกลั่น โดยคาดว่าธุรกิจโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาหลังการทยอยเปิดเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมายืนเหนือระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล จากไตรมาสแรกที่ราคาทรุดตัวลงไปอยู่ที่ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น ในไตรมาส 2 ผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ทั้งนี้ หุ้นเด่นแนะนำ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ราคาเหมาะสม 8.00 บาท และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) 48.00 บาท