เศรษฐกิจโลกดิ่งลึก-จีดีพีไทยหดแรง ไม่มีวัคซีน-โอกาสฟื้นลากยาวเกิน 2 ปี

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่มีจุดสิ้นสุด หลายประเทศในโลกต้องเผชิญกับการระบาดรอบ 2 ขณะที่ประเทศไทยแม้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 นี้หดตัวแรงมากขึ้น แม้ว่ากิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจหลาย ๆ อย่างจะเริ่มกลับมาหลังรัฐมีมาตรการคลายล็อกดาวน์แล้วก็ตาม

“ไอเอ็มเอฟ” ชี้เศรษฐกิจโลกทรุด -4.9%

ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2563 จะหดตัวถึง -4.9% รุนแรงกว่าที่เคยคาดไว้เมื่อเดือน เม.ย.คาดไว้ -3% เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่คาด อีกทั้งการฟื้นตัวก็เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว -8% ขณะที่ยูโรโซนหดตัวถึง -10.5% ส่วนเศรษฐกิจจีนโต 1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมที่ -1.2%

ส่วนเศรษฐกิจโลกปี 2564 คาดว่าจะโต 5.4% แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงรุนแรงลากยาวไปถึงปี 2564  เศรษฐกิจโลกปีหน้าโตเพียง 0.5% ขณะที่ “ประเทศไทย” ไอเอ็มเอฟคาดการณ์จีดีพีปีนี้ติดลบ -7.7% ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย

จีดีพีไทยลบหนักกว่า “ต้มยำกุ้ง”

ขณะที่การประชุม “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” (กนง.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2563 ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี  โดย นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเลขานุการ กนง. เปิดเผยว่า กนง.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่ามีแนวโน้มหดตัวกว่าประมาณการเดิม เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 รุนแรงกว่าที่คาด และได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ว่าจะหดตัว -8.1% จากเดิม -5.3%

ผลกระทบหลัก ๆ มาจากมูลค่าการส่งออกสินค้าปีนี้คาดจะหดตัว -10.3% มากกว่าเดิมที่คาดหดตัว -8.8%   การบริโภคภาคเอกชนคาดจะหดตัว -3.6%  ลงทุนภาคเอกชนหดตัว -13% จากเดิมคาด -4.3% และการลงทุนภาครัฐทรงตัวที่ 5.8%

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าวว่า จีดีพีที่คาดว่าจะหดตัว -8% ถือว่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ และรุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ที่จีดีพีหดตัว -7.6% และในไตรมาส 2 ปีนี้มีีโอกาสติดลบเป็นตัวเลข 2 หลัก เป็นไตรมาสที่หดตัวลึกสุดของปี หลังจากนั้น จะทยอยกลับฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เป็นการติดลบที่น้อยลง และคาดว่าในปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกอยู่ที่ 5% จากประมาณการเดิมขยายตัวอยู่ที่ 3%

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์แถลงมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในเดือน พ.ค. 2563 หดตัว -22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการหดตัวลึกที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นผลจากมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ 5 เดือนแรกส่งออกไทยหดตัว -3.7%

กนง.เหลือกระสุนลด ดบ.อีกแค่ 0.25%

ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจหลังจากที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในไตรมาส 3 ตามสถานการณ์โควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและเริ่มมีการเปิดเมืองมากขึ้น

นอกจากนี้ EIC ประเมินว่า กนง.เหลือขีดความสามารถในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีกอย่างมาก 1 ครั้ง (25 bps) เหลือ 0.25% หากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่ กนง.ประเมินไว้

หวั่นเศรษฐกิจฟุบลากยาวเกิน 2 ปี

นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า กรุงศรีจะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจลงอีก จากเดิมที่คาดไว้ -5% หลังจาก ธปท.ประเมินจีดีพีปีนี้หดตัว -8.1% อย่างไรก็ดี มองว่าความลึกของการหดตัวไม่น่ากลัว เมื่อเทียบกับการลากยาวของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจหลังโควิดจะใช้เวลาฟื้นตัวราว 2 ปีจึงจะกลับสู่ระดับปกติ อย่างไรก็ดีหลังธปท.ประเมินเศรษฐกิจลงแรงกว่าคาด จึงอาจจะต้องรอประเมินนโยบายการเงินและการคลังอีกครั้ง

หนุนรัฐขาดดุลพุ่ง “จำเป็น” ต้องอุ้มเศรษฐกิจ

ด้าน นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในภาวะหดตัวแรงตามประมาณการของ ธปท. ขณะที่ไอเอ็มเอฟก็ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกหดตัว -4.9% ต่อปี มากกว่าที่คาดไว้เดิม นอกจากนี้ ไวรัสโควิด-19 ก็ยังมีการระบาดรอบ 2 โดยเฉพาะในสหรัฐ ดังนั้น ผลกระทบน่าจะเป็นระยะยาว มาตรการทางด้านการเงินการคลังจึงเป็นกลไกสำคัญที่ยังช่วยประคองเศรษฐกิจไม่ให้แย่ลงไป

“เมื่อเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเป็นปกติ การจัดเก็บภาษี รายได้ต่าง ๆ ของรัฐบาลก็คงยังไม่กลับมา การขาดดุลงบประมาณก็จะสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น เพราะการขาดดุลที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าเราเจอสถานการณ์เศรษฐกิจที่ต่ำและยังไม่ฟื้นกลับมาจึงต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อประคอง รัฐบาลยังไม่อยู่ในฐานะที่จะรัดเข็มขัดได้ เพราะถ้ารัดเข็มขัดเศรษฐกิจก็จะแย่ลง คนตกงานก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ” นายเชาว์กล่าวและว่า

ดังนั้น ในแง่ฐานะการคลังก็คงต้องยอมให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นไปเกินกรอบวินัยการเงินการคลัง หรือเกิน 60% ของจีดีพีได้เป็นการชั่วคราว แล้วเมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมาปกติก็ค่อยทยอยลดการขาดดุลงบประมาณลงไป

ชี้ไม่มี “วัคซีน” เศรษฐกิจไม่ฟื้น

“ช่วงนี้รัฐบาลต้องช่วยประคองให้เศรษฐกิจประเทศผ่านจุดวิกฤตนี้ไปให้ได้ก่อน ซึ่งคิดว่ากว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นปกติได้อาจจะเป็นปี 2565 ในกรณีที่มีวัคซีนในปี 2564 สามารถแจกจ่ายให้ประชากรในประเทศได้ในวงกว้าง แต่หากไม่มีวัคซีนก็อาจจะไม่ฟื้นยาว เพราะเชื้อโรคจะกลับมา ซึ่งเราก็จะอยู่ในภาวะแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะเปิดการท่องเที่ยวก็ทำไม่ได้”

แม้ ธปท.จะประเมินว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวได้ 5% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมาจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่ในแง่การฟื้นตัวคงยังไม่เต็มที่เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ หรือกลับมาเท่ากับช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2562

 แนะปรับงบฯปี’64 เน้นเข้าระบบเร็ว

อย่างไรก็ดี ในจังหวะที่งบประมาณปี 2564 กำลังเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร นายเชาว์กล่าวว่า ภาคเอกชนมองว่า เมื่อต้องอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน เต็มไปด้วยความยากลำบาก เศรษฐกิจในประเทศก็ถูกกระทบ ดังนั้น รัฐบาลคงต้องเลือกรายจ่ายที่มีเม็ดเงินเข้าระบบให้เร็วที่สุด

“หากเป็นไปได้ก็อยากให้รัฐบาลเลือกใช้เงินกับโครงการที่เบิกจ่ายได้เร็วกว่า เพื่อให้มีเงินหมุนในระบบได้หลายรอบคือ เอาเศรษฐกิจให้รอดก่อน นี่คือโจทย์เฉพาะหน้า” นายเชาว์กล่าว