ยอดเปิดบัญชีหุ้นรายย่อยทะลัก! หนุนวอลุ่มเทรด มิ.ย.พุ่งสูงสุดรอบ 30 เดือน

ตลาดหุ้นไทย-SET-INDEX

ยอดเปิดบัญชีหุ้นรายย่อยทะลัก! ครึ่งปีแรกนับแสนบัญชี พบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เน้นลงทุนหุ้น Fundamental หนุนเดือน มิ.ย.63 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันพุ่ง 77,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% เป็นเดือนที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงที่สุดในรอบ 30 เดือน  ชี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก 

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างทรงตัว แต่เมื่อพิจารณามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันพบว่ามีความคึกคักมาก โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 77,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นเดือนที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงที่สุดในรอบ 30 เดือน และสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติการณ์ ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2563 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 68,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาจากผู้ลงทุนในประเทศ(Local Investors)เป็นหลัก ซึ่งในเดือน มิ.ย.นี้มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าผู้ลงทุนประเภทอื่นๆ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ 48.76% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ขณะที่สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนต่างชาติ(Foreign Investors) อยู่ที่ 32.48% สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายบัญชีหลักทรัพย์(Proprietary Trading) อยู่ที่ 9.35% และสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายนักลงทุนสถาบันในประเทศ (Local Institutions) อยู่ที่ 9.42%

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(YTD) พบว่ามูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนในประเทศอยู่ที่ 42.92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 33.72% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 36.11% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 41.38% มูลค่าการซื้อขายบัญชีหลักทรัพย์อยู่ที่ 9.88% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 13.55% และมูลค่าการซื้อขายนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ที่ 10.99% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 11.35%

“พอราคาหุ้นปรับลดลง ความน่าสนใจในการลงทุนของรายย่อยและผู้ที่จะลงทุนระยะยาวเริ่มกลับมา ขณะเดียวกันความชัดเจนในการควบคุมสถานการณ์โควิดในไทยดีขึ้นมาก มีมาตรการกระตุ้น พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และประเทศแถบเอเชียเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น และหุ้นหลายตัวมีแผนปรับตัวด้านโควิดที่ดี โดยพบบัญชีเปิดใหม่เป็นหลักแสนบัญชีตั้งแต่ครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยหุ้นที่ลงทุนหลักๆ เป็นกลุ่ม Fundamental ซึ่งหลายหุ้นที่อยู่ใน SET50, SET100 มีการปรับลดราคาค่อนข้างเยอะ และกลุ่มบัญชีเปิดใหม่เป็นกลุ่มที่เข้ามาซื้อเกินกว่า 50%” นายศรพลกล่าว

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ผู้ลงทุนในประเทศ(Local Investors) ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก มาจาก 2 ปัจจัยสำคัญคือ 1.ด้วยราคาที่ปรับตัวลงมากว่า 30% ซึ่งเข้ามาในช่วงที่ฐานต่ำทำให้สามารถลงทุนระยะยาวได้ 2.ดอกเบี้ยในธนาคารพาณิชย์และดอกเบี้ยในการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลได้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เพราะฉะนั้นถ้าเทียบกับอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่อยู่ประมาณ 3.5-4% การลงทุนในตลาดหุ้นจึงน่าสนใจ เพราะโอกาสที่จะได้ Upside Gain บวกกับอัตราเงินปันผลตอบแทน ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เหมือนกันทั่วโลกที่สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยมีแนวโน้มมากขึ้น

นายศรพล กล่าวต่อว่า สำหรับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) พบว่าเริ่มเห็นสัญญาณความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น สังเกตจากผู้ลงทุนต่างชาติที่มีแนวโน้มขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยลดลง และกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ โดยในเดือน มิ.ย.2563 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 22,381 ล้านบาทในตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดอื่นในภูมิภาค ทำให้ในครึ่งแรกปี 2563 ผู้ลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายสุทธิ 215,736 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนกลุ่มอื่นเป็นผู้ซื้อสุทธิ

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ปิดที่ 1,339.03 จุด ลดลง 0.3% จากเดือนก่อน และลดลง 15.2% จากสิ้นปีก่อน แต่หากพิจารณาผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์จะเพิ่มขึ้น 2.8% และลดลง 17.8% ตามลำดับ ในเดือนมิถุนายน 2563 เมื่อพิจารณารายอุตสาหกรรมเทียบกับสิ้นปีก่อนพบว่าเกือบทุกอุตสาหกรรมปรับตัวดีกว่า SET Index ยกเว้น กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับ ภาพรวมอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (Forward และ Historical P/E )ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ระดับ 20.5 เท่า และ 18.7 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า และ 16.0 เท่าตามลำดับ อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ระดับ 3.70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.15% ในเดือนมิถุนายน 2563 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 498,244 สัญญา เพิ่มขึ้น 56.6% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจาก SET50 Index Futures และ Single Stock Future และในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 498,402 สัญญา เพิ่มขึ้น 31.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน