เปิดบทสัมภาษณ์ “ดร.เศรษฐพุฒิ” ย้อนมุมมอง ตัวเต็ง “ผู้ว่า ธปท.”

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

“ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” หนึ่งในผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศทย(ธปท.) ตัวเต็งอันดับหนึ่งที่หลายฝ่ายเชื่อว่าไม่ผิดไปจากนี้ เพื่อทำความรู้จักกับว่าที่ผู้ว่าธปท.คนที่ 24 มากยิ่งขึ้น

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้นำบทสัมภาษณ์ของ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ” ที่ตีพิมพ์ในวารสาร ‘BOT พระสยาม MAGAZINE’ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับเดือนกันยายน-ตุลาคม 2558 ซึ่งให้สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจไทย หรือ ‘New Normal’ และอีกหลายแง่มุมของชีวิตนักเศรษฐศาสตร์มากฝีมือ ที่หลายคนยังอาจไม่รู้จัก

โดย ณ เวลานั้น ดร.เศรษฐพุฒิ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของสถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation)

EXPERIENCE OF A LIFETIME

บทสัมภาษณ์ดังกล่าวระบุว่า เมื่อดร.เศรษฐพุฒิตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางสายเศรษฐศาสตร์ จึงมุ่งมั่นหาความรู้และประสบการณ์ในการทำงานอย่างเข้มข้น มีดีกรีเป็นนักเรียนทุนด้านเศรษฐศาสตร์จาก Swarthmore College และต่อมาได้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกจาก Yale University ประเทศสหรัฐอเมริกา

และในแง่ของประสบการณ์การทำงาน ดร.เศรษฐพุฒิ เคยร่วมทีมอยู่ในองค์กรชั้นนำระดับโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ชื่อดังอย่าง McKinsey & Company รวมถึงเป็นเศรษฐกรไทยที่ทำงานอยู่ในธนาคารโลก (World Bank) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นานนับสิบปี ประสบการณ์ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ หล่อหลอมให้กลายเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศไทย

“ข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ช่วยให้ผมเกิดมุมมองที่หลากหลายมาก เวลาจะทำอะไรเราย่อมคิดถึงและเข้าใจมุมมองของคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยกตัวอย่างสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ผมได้กลับมาช่วยงานที่กระทรวงการคลัง หลังจากที่เคยทำงานอยู่ใน World Bank คราวนี้เรากลับต้องมานั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ต้องเจรจากับ IMF รวมถึง World Bank ด้วย ซึ่งดีเลย เพราะเราพอจะเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร ช่วยให้เราเห็นภาพระหว่างการเจรจาว่าจะประกอบไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง”

ดร.เศรษฐพุฒิ ยอมรับว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานทั้งในฝั่งของภาคเอกชนและภาคราชการ ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ ล้วนมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้เขามีมุมมองที่หลากหลาย เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในโลกยุคปัจจุบัน

“แม้กระทั่งตอนออกนโยบายการเงิน ด้วยความเข้าใจในฐานะคนที่เคยถูกผลกระทบจากนโยบายว่าเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็เคยทำงานอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูกกำกับดูแล ผมจึงเข้าใจว่าการออกนโยบายหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นั้น พวกเขาจะคิดเห็นกันอย่างไร ตรงนี้แหละที่ช่วยให้เรามีมุมมองที่ครบทุกด้าน”

CHALLENGE OF THE ‘NEWER NORMAL’

ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยกำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลายคนเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าเศรษฐกิจภายใต้ ‘บริบทใหม่’ หรือ ‘New Normal’ ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่านี่เป็นสภาวะปกติที่ทุกประเทศต้องเผชิญเมื่อระบอบเศรษฐกิจพัฒนาจนส่งผลให้ระดับรายได้ ต่อหัวของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น การเติบโตจึงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับประเทศไทยอาจถือว่าเราเจอภาวะ New Normal นี้เร็วผิดปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างประชากรไทย Aging เร็วมาก เปรียบเสมือนคนที่ ‘แก่ก่อนรวย’ คือ ประชากรวัยทำงานของเรามีจำนวนเพิ่มขึ้น ในสัดส่วนน้อยลง แต่ประสิทธิภาพการทำงานต่าง ๆ กลับยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร รวมถึงปัจจัยการผลิตอย่างเทคโนโลยีที่เราควรมี มันยังไม่มี สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่คุณภาพชีวิต และระดับรายได้สำหรับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่ดี แต่อัตราการเติบโตกำลังชะลอตัวลดลง แล้วเราจะสร้างความมั่งคั่งให้พวกเขาอย่างไร จะสร้างโอกาสให้เขาอย่างไร นี่คือปัญหา”

ดังนั้น โจทย์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านสภาวะ New Normal ควรดำเนินไปในทิศทางใด ดร.เศรษฐพุฒิ ได้ให้ความเห็นว่า “ในเมื่อแทร็กเดิมหรือสิ่งที่เราทำกันมาตลอด เริ่มไม่ค่อยให้ผลตอบแทนดีเท่าเดิม มันจึงเริ่มหมดเสน่ห์ เราจึงต้องหาแทร็กอื่นที่จะนำไปสู่ ‘The Newer Normal’ ซึ่งดีกว่าของเดิมที่เรามี ส่วนรูปแบบของ The Newer Normal จะมีอะไรบ้างนั้น เราควรต้องไปหาแหล่ง Source of Growth ใหม่ เนื่องจากแหล่งเดิมไม่สามารถสร้างการเติบโตได้แล้ว ตัวอย่างเช่น เดิมภาคธุรกิจอาจกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพ เมื่ออัตราการขยายตัวเริ่มลดลง ภาคธุรกิจก็ควรปรับตัวไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เป็นต้น”

ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่บริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายมิติ เช่น ตัวอย่างที่กล่าวถึงเรื่องโครงสร้างประชากร ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ คิดว่าเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของแบงก์ชาติ มีขอบเขตกว้างเกินกว่าที่หน่วยงานราชการเพียงแค่หน่วยงานเดียวจะรับผิดชอบได้

“ทางเลือกมันหนีไม่พ้นและมีอยู่ไม่กี่ทาง หลายเรื่องอย่างโครงสร้างประชากรถือเป็นปัญหาสะสม อยู่ดี ๆ จะให้ประชากรในวัยทำงานเพิ่มขึ้นทันที คงเป็นไปได้ยาก ถ้าจำนวนคนไม่เพิ่มขึ้นจึงมีเพียงทางเลือกเดียวที่เหลือ นั่นคือเราต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมาจากการลงทุนด้านนวัตกรรมและปัจจัยด้านการผลิตอื่น ๆ ส่วนตัวผมคิดว่าแต่ละคนควรทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ในเรื่องที่พึงควรทำ ถึงแม้ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องเข้าใจว่าต้นตอของปัญหาหลายอย่างไม่ได้อยู่ที่นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียว บทบาทของนโยบายการเงินย่อมมีข้อจำกัด ไม่ใช่ดาบกายสิทธิ์ที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง หากใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมหรือใช้ผิด มันจะเกิดความเสี่ยงและ Downside มหาศาล

ดร.เศรษฐพุฒิ ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงหนทางแก้ไขเพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่ดีกว่า “เรื่องแรกเราต้องปรับ Mindset ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเอกชน ประชาชนหรือวิชาการ อย่าคอยให้ภาครัฐเป็น Facilitator ช่วยผลักดันกระบวนการต่าง ๆ ที่ภาคเอกชนและประชาชนดำเนินการ รวมถึง Mindset เรื่อง Sense of Urgency จากที่เคยคิดว่าเป็นปัญหาในระยะยาว คราวนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว”

BEST LESSON LEARNED

เมื่อว่างจากการทำงาน กิจกรรมที่ ดร.เศรษฐพุฒิ โปรดปราน คือ การอ่านหนังสือซึ่งเป็นความเคยชินมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้การอ่านก็ยังเป็นการผ่อนคลายที่ทำประจำ แต่ในวันที่เขาเหนื่อยล้าจากการทำงานจนไม่มีแรงพลิกหน้ากระดาษ เขาจะใช้วิธีการ ‘ฟังหนังสือ’ ผ่าน Audio Book โดยแนวที่ชอบเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ สงคราม เพราะทำให้เห็นกระแสหรือเทรนด์จากการตัดสินใจได้อย่างชัดเจน

ในฐานะนักอ่านตัวยง เราจึงขอให้ ดร.เศรษฐพุฒิ แนะนำหนังสือที่น่าสนใจให้คนที่แบงก์ชาติอ่าน

“ก่อนอื่นผมขอชื่นชมคุณภาพของบุคลากรที่ทำงานในแบงก์ชาติ ก่อนหน้านี้ผมพอจะรู้มาบ้างว่าคนแบงก์ชาติเก่ง มีความสามารถ แต่เมื่อได้มาสัมผัสและร่วมงานกับน้อง ๆ หลายคน ผมประทับใจเกินคาด รวมถึงทัศนคติในการทำงานยิ่งทำให้ประทับใจและพูดชมได้เต็มปากเต็มคำ ซึ่งผมอยากเห็นคนกลุ่มนี้ได้มีบทบาทมากขึ้น สามารถฉาย Skill ของเขาได้เต็มที่ ถ้าจะให้แนะนำหนังสือสำหรับคนแบงก์ชาติ โดยที่เราก็รู้จักคนแบงก์ชาติว่าอยากจะให้พวกเขาอ่านอะไร เพื่อจะช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ ๆ แก่เขา ผมคิดมาสองเล่ม

“เล่มแรกเป็นหนังสือ ชื่อ ‘A Demon of Our Own Design’ เขียนโดย Richard Bookstaber เนื้อหาหลัก ๆ บอกว่าทำไมวิกฤติการเงินจึงเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น จากเหตุการณ์ผันผวนตลาดครั้งเดียวในรอบ 100 ปี กลับเกิดขึ้นทุก 10 ปี เขาอธิบายว่า เป็นเพราะทุกอย่างในโลกทวีความซับซ้อนขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยส่วนตัวผมชอบนักเขียนคนนี้เพราะมีมุมมองน่าสนใจ เขาเติบโตมาจากสายงานของนักวิชาการ ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่งและผ่านการทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ใน Wall Street จึงเห็นตับไตไส้พุงเกือบทั้งหมด แต่ยังคงมีความเป็นนักวิชาการแฝงอยู่ เลยเป็นการผสมมุมมองที่ผมคิดว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนของแบงก์ชาติ ผมว่ามันช่วยเตือนสติพวกเราถึงการนำนวัตกรรมการเงินจากต่างประเทศมาใช้ บางทีเราอาจคิดว่าของใหม่ดี เก๋ เซ็กซี่ ซึ่งอาจไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่อโยงกลับมาเรื่องการบริหารความเสี่ยง หาก Innovation เข้ามาทำให้ตลาดมันเกิดประสิทธิภาพ เวลาเกิดข้อผิดพลาด มันย่อมสร้าง Downside มหาศาลเช่นกัน หนังสือเล่มนี้จะช่วยเตือน สติถึงเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี”

หนังสือเล่มที่สอง ดร.เศรษฐพุฒิ เกริ่นว่ามันจะช่วยเตือนสติอีกรูปแบบหนึ่ง ชื่อ ‘The Tyranny of Experts’ เป็นผลงานของ William Easterly ผู้เคยทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการที่ World Bank ในช่วงที่ ดร.เศรษฐพุฒิ ทำงานอยู่ที่นั้น

“มุมมองของหนังสือเล่มนี้กำลังบอกเราว่าพวกที่ถูกฝึกเรื่องเทคนิคเยอะ ๆ หรือพวก Technocrat มักจะชอบให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิดว่านโยบายต้องเป็นอย่างนี้ แล้วนำเอาไปปฏิบัติ ซึ่งอันที่จริงของพวกนี้ไม่ค่อยเวิร์ก เพราะ Expert ไม่มีทางรู้ทุกเรื่องได้ ทั้งสองเล่มนี้มีธีมของเนื้อหาใกล้เคียงกัน คือ อธิบายถึงความซับซ้อนของโลกในยุคปัจจุบันว่า Complexity เกิดขึ้นสูงมากจนเราไม่มีทางกำหนดได้แน่นอนว่าทำอะไรลงไปแล้วจะเกิดผลอย่างที่เราคิดหรือไม่ ซึ่งมันมีศัพท์เรียกว่า Emerging Solution หรือ Emerging Behavior คือ อย่าไปคิดแทน ปล่อยให้กลไกต่าง ๆ ทำงานและโซลูชั่นจะโผล่ออกมาเอง”

เมื่อถามว่าเขาอยากจับปากกาเขียนหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่มหรือเปล่า? ดร.เศรษฐพุฒิ ยอมรับว่ามีไอเดียนั้นอยู่แล้ว แต่การหา ‘เวลา’ สำหรับผลิตงานนั้นยากกว่าหลายเท่าตัว

“ผมยอมรับว่าการบริหารเวลาเป็นอะไรที่ยากครับ” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับเล่าต่อว่า “ผมมองว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์เรา ผมจึงเป็นคนที่หวงเรื่องเวลามาก เลยเป็นที่มาของการอยากออกมาทำธุรกิจเอง แต่ก็เหมือนเราต้องกลับมาเรียนรู้ ตัวเองอีกครั้ง เพราะจากเดิมคิดว่าออกมาแล้วจะมีเวลามากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเราบริหารเวลาได้ยากขึ้นไปอีก”

แม้เวลาจะมีค่ามาก แต่เขาก็ยังให้เวลากับกิจกรรมยามว่างสุดสัปดาห์ เขาเลือกที่จะ อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือแม้แต่นั่งเฉยๆ เพื่อให้เวลากับการคิด ที่บ้านพักหลังเล็ก ๆ เงียบสงบ ในจังหวัดนครนายกกับภรรยา ดูเป็นกิจกรรมที่แสนจะธรรมดาสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าเช่นเขา

THE BOTTOM LINE

บุคคลที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดในการใช้ชีวิตของเขา คือ คุณพ่อ “สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคุณพ่อ คือ ความสำคัญของ Integrity ท่านสอนให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เรารู้”

นอกจากนั้น ดร.เศรษฐพุฒิ ไม่ได้เจาะจงบุคคล ต้นแบบว่าเป็นใคร แต่เขาได้เรียนรู้จากทุกคนรอบข้าง อาทิ เพื่อนร่วมงานผู้ให้แนวคิดเรื่องการไม่ละเลยสิ่งเล็กน้อย ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มีผลต่อจิตใจของเพื่อนร่วมงานด้วยกัน

สุดท้ายนี้ เราถามถึงเคล็ดลับเพื่อการมีความสุขและความสำเร็จ โดย ดร.เศรษฐพุฒิ ได้เล่าถึงสิ่งที่จะทำให้มีความสุขว่า “การรู้จักตัวเองและซื่อสัตย์ต่อตัวเองครับ อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว เพราะผมก็เหมือนกับหลายคนที่ยังมีกิเลส เมื่อก่อนเวลาคนชวนไปทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง ดูแลบริษัทขนาดใหญ่ คือ On Paper เป็นงานที่ดูดีจริง แต่นั่นเป็นงานที่ผมชอบน้อยที่สุดและเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขน้อยที่สุดเช่นกัน ฉะนั้น มันจึงกลับมาที่ตัวเราควรต้องวัดจากข้างใน อย่าไปวัดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับความสำเร็จสั้น ๆ แต่ให้ข้อคิดว่า “มีใครล่ะที่ไม่ชอบความสำเร็จ คือ ความสำเร็จสำคัญนะ แต่ถ้าไปยึดติดกับมันมาก ชีวิตของเราคงไม่มีความสุขนักหรอก”

ที่มา: BOT พระสยาม MAGAZINE ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)