ส่องแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า กูรูชี้มีโอกาสปรับขึ้นถึง 1,375 จุด

ตลาดหุ้น ภาพประกอบข่าว

โบรกฯ ประเมินภาพ SET Index สัปดาห์หน้ามีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องทดสอบ 1,375 จุด เหตุความคืบหน้าวัคซีน ‘Pfizer’ และความคาดหวังวัคซีน ‘Moderna’ หนุนเงินเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (9-13 พ.ย.63) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ปิดที่ 1,346.47 จุด ปรับขึ้น 60.69 จุด หรือปรับขึ้น 4.71% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 550,998.68 ล้านบาท โดยระหว่างสัปดาห์ดัชนีปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,356.83 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 1,277.52 จุด

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า (16-20 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า SET Index มีแนวโน้มแกว่งขึ้น (Sideways Up) จากความหวังผลการทดลองวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของ บริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ (Pfizer) ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 90% โดยตลาดหุ้นไทยยังถือว่าปรับตัวขึ้นไม่มากจากราคาปิดที่ต่ำสุดเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นมาเพียงราว 30% ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งปรับตัวขึ้นมาเฉลี่ยราว 50%

ดังนั้น หากมีความคืบหน้าของวัคซีนเพิ่มเติมจาก บริษัท โมเดอร์นา (Moderna) ที่ผลการทดลองอาจประกาศออกมาภายในระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ได้ต่อ

ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมในประเทศยังมีหลายประเด็นที่มีความสำคัญ ได้แก่ การประชุมสภาในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ เบื้องต้นจะพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คาดว่าสภาจะรับหลักการในวาระแรก ก่อนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 210 และ 256 หรือไม่ ส่วนปัจจัยอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ การประกาศจีดีพีไตรมาส 3/63 ของไทย

ส่วนปัจจัยแวดล้อมที่ต้องติดตามในต่างประเทศ ได้แก่ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกที่เร่งตัวเร็วขึ้นมาก โดยเป็นการเร่งตัวขึ้นราว 4.6% ภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งถือว่าเร็วกว่าช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยหลักๆ ผู้ติดเชื้อจากสหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ 1.6 แสนรายต่อวัน จนต้องประกาศเคอร์ฟิวในนิวยอร์ก เนอร์วาดา และแคลิฟลอเนีย

อย่างไรก็ดี มาตรการครั้งนี้ยังไม่ถือว่าเข้มข้นมาก ซึ่งหากมีการยกระดับขึ้นปัจจัยนี้อาจกลับมากดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง ขณะที่ผลการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในฝรั่งเศสที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. พบว่า ได้ผลที่น่าพอใจ โดยผู้ติดเชื้อรายวันลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 50% ของวันที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุด

ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index จะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นต่อระหว่าง 1,300-1,375 จุด หลังทะลุแนวต้านสำคัญที่ 1,320 จุด กอปรกับแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้า Emerging Market ต่อเนื่อง รวมถึงความหวังประสิทธิภาพวัคซีน ดังนั้น ทางฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีที่มูลค่า (Valuation) ยังน่าสนใจอยู่ ได้แก่

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เนื่องจาก บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) บริษัทลูกยังได้ประโยชน์จากเหตุการณ์โควิด-19 ที่ยังรุนแรงมากขึ้น รวมถึงยอดขายรถยนต์ในจีนที่เติบโตขึ้น 12.5% ในเดือน ต.ค. และขยายตัวต่อกัน 7 เดือน

ถัดมา บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เนื่องจากอยู่ในธีมการลงทุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ (Global Play) จากปริมาณการค้าโลกที่จะมีมากขึ้น รวมถึงมีความคาดหวังดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) จะฟื้นตัว จากแนวโน้มปัจจุบันที่เป็นขาลงและอาจกลับมาแกว่งออกข้าง

ด้าน นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแนวโน้ม SET Index สัปดาห์หน้าคาดว่าดัชนีจะแกว่งออกข้าง (Sideway) และ Sideway up โดยประเมินแนวรับที่ 1,325 จุด และแนวต้านที่ 1,360-1,380 จุด ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การประกาศจีดีพีไตรมาส 3/63 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะติดลบประมาณ 8-9%

“สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้ลงทุนล้อไปกับแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน PTTGC และกลุ่มธนาคาร KBANK และ SCB” นายวิจิตร กล่าว