ระวัง SET ปรับฐาน

เติมความคิดพิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน SET ปรับขึ้นมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยจากต้นเดือน พ.ย.จนถึงปัจจุบัน ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 200 จุด จากระดับ 1,200 จุด สู่ 1,400 จุด

โดยมีปัจจัยหนุนเข้ามาต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1) ผลการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่ง โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะไม่ได้กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในสภาก็ตาม เนื่องจากวุฒิสภาครองเสียงข้างมากโดยพรรครีพับลิกัน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับขึ้นตอบรับชัยชนะของไบเดน โดยตลาดมองว่าการไม่ได้กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในสภานั้น ทำให้การออกนโยบายที่จะกระทบต่อตลาดหุ้นจะถูกขัดขวาง

โดยฝั่งพรรครีพับลิกัน อันได้แก่ นโยบายการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และนโยบายขึ้นภาษีนิติบุคคล สำหรับตลาดหุ้นเอเชียรวมถึง SET ปรับตัวขึ้น เนื่องจากมองว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศของไบเดน น่าจะมีความเป็นมิตรกว่าหรือกดดันคู่ค้าสำคัญอย่างจีนน้อยกว่านโยบายของทรัมป์

2) ความคืบหน้าเรื่องวัคซีนหลังผลการทดลองวัคซีนของบริษัท Pfizer, BioNTech, Moderna ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในระดับสูงกว่า 90% และล่าสุดผลทดสอบวัคซีนของ AstraZeneca มีประสิทธิภาพ 70% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเช่นกัน

และ 3) ทิศทาง fund flow ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึง SET โดยนับแต่เริ่มเดือน พ.ย.จนถึง ณ 23 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมใน SET แล้วกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท

โดยปัจจัยบวกต่าง ๆ ได้หนุน SET ให้ขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,400 จุด ซึ่งผมมองว่า SET ที่เหนือระดับ 1,400 จุด หรือในช่วงบริเวณ 1,450 จุด ขึ้นได้ต่อไม่ง่ายแล้ว เนื่องจาก 1) มูลค่า SET ตึงตัวแล้ว โดยระดับ 1,440-1,450 จุด หากเทียบ P/E เฉลี่ยของ SET ที่ 15 เท่า จะเท่ากับ SET ได้สะท้อนกำไรของตลาดที่ระดับ 96 บาทต่อหุ้น ซึ่งระดับนี้ เป็นช่วงกำไรที่ SET ทำได้ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือก่อนที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วยซ้ำ เท่ากับ SET ได้สะท้อนมูลค่าล่วงหน้าไปค่อนข้างไกลแล้ว

และ 2) ทิศทาง fund flow ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในระยะนี้ คาดว่าเป็นเพียงแค่ระยะสั้น โดยจากข้อมูลแม้มีการซื้อสุทธิใน SET กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ใน SET50 Futures กลับมีสถานะ short สุทธิกว่า 3.3 หมื่นสัญญา จึงเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่าแรงซื้อใน SET จะเกิดแค่ระยะสั้น

นอกจากนี้ ในเดือน ธ.ค.ซึ่งมีวันหยุดมากและเป็นช่วงสิ้นปีแล้ว ดังนั้นคาดว่าจะมีการเริ่มขายปรับพอร์ตเพื่อทำกำไร ทำให้ด้านกลยุทธ์การลงทุน ผมแนะนำให้ขายลดพอร์ตแล้ว เพื่อรอกลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่แถวบริเวณ 1,300 จุด

สำหรับกลยุทธ์เลือกหุ้นลงทุนนั้น ผมเลือกกลุ่มที่น่าสนใจไว้รอซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลง โดยแบ่งเป็น 3 ธีม ได้แก่

1) หุ้นที่คาดฟื้นตัวตามภาพเศรษฐกิจ และเลือกเป็น top picks ใน 1Q64 ของ SCBS ได้แก่ TOP, PTTEP, HMPRO, MINT, IP

2) หุ้นใหญ่ที่ได้อานิสงส์จาก fund flow ไหลเข้า ได้แก่ AOT, SCC, KBANK, PTT, CPALL, PTTGC

3) หุ้นที่ valuation ไม่แพงและโมเมนตัมกำไรจะดีขึ้น ได้แก่ CPALL, BDMS, GPSC, BAM, MTC, TNP, IP

ส่วนหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับขึ้นมามากแล้ว แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงนี้ไปก่อนนะครับ เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงในเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสเผชิญแรงขายออกมา

…แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ ด้วยรักและหวังดี