ศุลกากร แจงดราม่าประเมินภาษีไม่เป็นธรรม พร้อมเปิดช่องรับร้องเรียน

กรมศุลกากร เปิดรายละเอียดขั้นตอนปฏิบัติพิธีการศุลกากรทางไปรษณีย์สิ่งของที่ส่งมาจากต่างประเทศ แจงดราม่าปมสั่งของต่างประเทศแต่ได้รับสินค้าไม่ครบ-ประเมินภาษีไม่เป็นธรรม พร้อมเปิดช่องรับร้องเรียน

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ชี้แจง กรณีมีกระแสข่าวดราม่าออนไลน์เกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรทางไปรษณีย์สิ่งของที่ส่งมาจากต่างประเทศ ในส่วนกระแสข่าวที่ผู้รับได้สินค้าไม่ครบ หรือการประเมินภาษีไม่เป็นธรรมนั้น เป็นการขนส่งไปรษณีย์เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัย เช่น ต้นทางส่งไม่ครบ การแจ้งรายละเอียดสินค้าไม่ตรงกับจำนวน หรือราคาที่ส่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กรมจะมีการติดตามเฝ้าระวังมากขึ้น และจะเปิดช่องทางรับร้องเรียนผ่านอีเมล์ และเว็บไซต์ของกรมศุลกากร ซึ่งก็ต้องขอความกรุณาประชาชน หากจะมีการร้องเรียนต้องแสดงตัวตนจริง พร้อมระบุข้อร้องเรียนอย่างชัดเจน ซึ่งกรมจะรับเรื่องแล้วดำเนินการต่อไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กรมจะเพิ่มแนวทางปฏิบัติภายใน ด้วยการเพิ่มขั้นตอนการส่งมอบกับไปรษณีย์ไทย มีการแยกพื้นที่คัดแยกพัสดุให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น เพิ่มจำนวนกล้องวงจรปิดบริเวณคัดแยก และชี้แจงเหตุผลราคาประเมินไปยังผู้รับให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

นายพชร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2563 มีพัสดุที่ส่งจากต่างประเทศผ่านไปรษณีย์ไทยอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านชิ้น และพัสดุที่ขนส่งโดยขนส่งเอกชนประมาณ 38 ล้านชิ้น ซึ่งพบปัญหาในส่วนของพัสดุที่ส่งผ่านทางไปรษณีย์ไทยเนื่องจากการคิดค่าขนส่งจะคิดจากน้ำหนักสินค้าในหีบห่อเป็นหลัก ไม่บังคับการทำประกันสินค้า จึงไม่ต้องตรวจสินค้าก่อนทำการหีบห่อว่าตรงกับเอกสารที่แจ้งหรือไม่ ต่างกับการขนส่งของเอกชน ที่ต้องมีการทำประกันสินค้าทำให้ต้องมีการแสดงสินค้าให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนจะปิดหีบห่อ ทำให้ราคาค่าขนส่งของเอกชนแพงกว่าไปรษณีย์และยังถูกใช้เป็นช่องทางการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย

สำหรับพัสดุที่ส่งมาถึงไทย จะถูกแยกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ แสดงราคาสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท กลุ่มที่ 2 คือ แสดงราคาสินค้าอยู่ระหว่าง 1,500-40,000 บาท และกลุ่มที่ 3 คือ แสดงราคาสินค้าเกิน 40,000 บาท โดยหากพบพัสดุที่น่าสงสัย เช่น ขนาดกล่องกับรายละเอียดที่แสดงมีความผิดปกติ เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะเป็นผู้เปิดพัสดุกล่องนั้นร่วมกัน เพื่อตรวจสอบว่าสินค้าในกล่องตรงกับเอกสารที่แสดงรายละเอียดหน้ากล่องหรือไม่ โดยการประเมินภาษีจะปฏิบัติตามประมวลระเบียบการประเมินราคาภาษีศุลกากรและการค้าขององค์การการค้าโลก ซึ่งใช้ราคาซื้อขายจริง โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบราคาสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ของต่างประเทศ

หลังจากนั้นจะดำเนินการปิดหีบห่อ ด้วยเทปกาวที่มีข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ “เปิดตรวจ/ปิดผนึก” แล้วจึงส่งพัสดุไปยังที่ทำการไปรษณีย์ที่ใกล้ผู้รับที่สุด และส่งแจ้งไปยังผู้รับให้มาชำระภาษีอากรเพิ่มเติม ซึ่งหากผู้รับไม่เห็นด้วย สามารถยื่นคำร้องขอให้ประเมินภาษีใหม่ได้ พร้อมย้ำไม่ใช่การใช้ดุลพินิจจากเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากไม่มาชำระเพื่อรับสินค้าภายใน 30 วัน หากเป็นสินค้าผิดกฎหมายจะถูกนำไปทำลาย แต่หากเป็นสินค้าทั่วไปจะถูกตีกลับไปยังประเทศต้นทาง

“กลุ่มที่เป็นปัญหาคือกลุ่มที่ราคา 1,500 – 40,000 บาท ปี 2563 มีประมาณ 300,000 แสนชิ้น มูลค่า 300 ล้านบาท โดยมีการอุทธรณ์ให้ประเมินราคาใหม่ ประมาณ 1% หรือ ประมาณ 3,000 ชิ้น ซึ่งหากมีหลักฐานแสดงการซื้อขายการชำระเงินประกอบคำร้อง กรมศุลกากรจะพิจารณาให้ความเป็นธรรม โดยมีผู้อุทธรณ์ผ่านและได้รับการปรับลดราคาจากราคาแรกที่กรมศุลกากรประเมิน ประมาณ 70% ของจำนวนผู้ยื่นอุทธรณ์ทั้งหมด”

ทั้งนี้ สินค้ายอดฮิตที่ตรวจพบส่วนใหญ่เป็นอัลบั้มเกาหลี และของสะสมจากศิลปินเกาหลี สาเหตุที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทางข้ามประเทศ ทำให้สินค้าที่เป็นของสะสมจากดาราศิลปินเกาหลีมีการสั่งซื้อและที่มีการแสดงรายละเอียดหน้าหีบห่อเป็นเท็จมากกว่าสินค้าแบรด์เนม เช่น พัสดุที่ส่งมาจากประเทศเกาหลีใต้ แสดงรายละเอียดว่าเป็นโฟโตบุ๊ค น้ำหนักพัสดุ 22 กิโลกรัม แสดงราคาสินค้ารวม 45 ดอลลาร์ฯ แต่เมื่อทำการเปิดตรวจสินค้า พบเป็นโฟโตบุ๊คจำนวน 10 เล่ม มีราคาขายผ่านหน้าเว็บไซต์ ราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ 49 ดอลลาร์/เล่ม เป็นต้น

สำหรับ สถิติการนำเข้าสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2563 มีทั้งหมด 4,817,355 หีบห่อ ลดลงจากปีงบประมาณ 2562 ที่มีทั้งหมด 5,989,619 หีบห่อ ขณะที่สถิติการจับกุมตรวจยึดสิ่งของผิดกฎหมาย ของส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์ สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ ปีงบประมาณ 2563 มีดังนี้ ยาเสพติด จำนวน 214 ราย น้ำหนัก 978.92 กิโลกรัม มูลค่า 404,770,100 บาท วัตถุลามก จำนวน 356 ราย น้ำหนัก 1,077.87 กิโลกรัม มูลค่า 1,796,000 บาท บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ จำนวน 391 ราย น้ำหนัก 451.15 กิโลกรัม มูลค่า 257,300 บาท