เวิร์คฟอร์มโฮม แจ้งเกิด “เซียนหุ้น” หน้าใหม่ แห่เปิดพอร์ต 1.1 ล้านบัญชี

หุ้น-นักลงทุน

ล็อกดาวน์-เวิร์คฟอร์มโฮม (Work from Home : WFH) แจ้งเกิดนักลงทุนหน้าใหม่ เผย 6 เดือนแรกปีนี้ยอดเปิดพอร์ตใหม่ 1.15 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเกือบเท่าตัว ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้สอดคล้องเทรนด์ทั่วโลกจาก 3 ปัจจัย “ภาวะดอกเบี้ยต่ำ-WFH-นักลงทุนวิ่งหาผลตอบแทน” เอเซีย พลัส เผยค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังแค่ปีละ 2.4 แสนบัญชี ส่วน ดร.นิเวศน์ชี้เงินทั่วโลกล้น ตลาดหุ้นผลตอบแทนดีสุด

เปิดบัญชีหุ้นใหม่ทะลุ 1 ล้าน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 64) พบว่ามียอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่อยู่ที่ 1,156,290 บัญชี เพิ่มขึ้น 188.04% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดเปิดบัญชีใหม่แค่ 401,439 บัญชี ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนบัญชีซื้อขายหุ้นทั้งหมด 4,670,287 บัญชี

ทั้งนี้เทรนด์เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่เป็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดทั่วโลก มาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.ภาวะดอกเบี้ยต่ำทำให้คนสนใจสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่ดีขึ้น 2.การทำงานที่บ้าน (Work from Home : WFH)  หนุนให้คนมีความคุ้นชินกับการใช้ดิจิทัลมากขึ้น

อาทิ เรียนออนไลน์, หาข้อมูลออนไลน์, ช็อปปิ้งออนไลน์ และทำให้การเปิดบัญชีหุ้นทำได้ง่ายขึ้น 3.บริษัทจดทะเบียนมีการกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก เช่น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้มีการเปิดบัญชีหุ้นใหม่เพิ่มขึ้น

นายศรพลกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ไม่แนะนำให้นักลงทุนเปิดเพื่อมาเล่นแค่ระยะสั้น แต่อยากให้มีความรู้และศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และจุดแข็งที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ คือการกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนมีมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลวงกว้าง และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาก

รายย่อยพยุงตลาดหุ้นไทย

นายศรพลกล่าวว่า นับตั้งแต่เดือน ก.พ. 63 ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 16 โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64 การซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยคิดเป็นสัดส่วน 47.18% ของมูลค่าการซื้อขายรวม เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากต้นปี’64 ที่อยู่ระดับ 40% ต้น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนหลักที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันอยู่ที่ 37.71% และสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน 6.38% และสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของบัญชีหลักทรัพย์ 8.73%

โดยปีนี้นักลงทุนต่างชาติ “ขายสุทธิ”หุ้นไทยไปแล้ว 77,817 ล้านบาท เป็นการขายหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีสถานะซื้อสุทธิกว่า 111,276 ล้านบาท

ก่อนโควิดเปิดแค่ 2 แสนบัญชี

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ถ้าย้อนไปดูช่วงปี 2563 ยอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่ทั้งระบบขยับสูงขึ้นอยู่ที่ 7.47 แสนบัญชี เทียบกับปี 2562 มีการเปิดบัญชีใหม่ 3.33 แสนบัญชี และช่วง 10 ปีก่อนหน้า(ปี 2552-2563) ค่าเฉลี่ยเปิดพอร์ตหุ้นแค่ประมาณ 2.4 แสนบัญชีต่อปีเท่านั้น

แต่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ายอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายใหม่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.03 ล้านบัญชี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 231% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 3.12 แสนบัญชี เนื่องจากช่วงนี้เงินฝากในระบบสูงเป็นประวัติการณ์ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูง (search for yield)

นายอนิรุตน์ โลหะวรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่ของบริษัทยังมีจำนวนที่สูง แต่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่มีการจองซื้อหุ้นไอพีโอ โดยปีนี้มีจำนวนลูกค้าเปิดบัญชีใหม่แล้วมากกว่า 1 แสนราย คิดเป็นค่าเฉลี่ย 17,000 บัญชีต่อเดือน

“เงินล้น” วิ่งหาผลตอบแทน

ด้าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (value investor : VI) กล่าวว่า ยอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่ที่สูงขึ้นนั้น สะท้อนถึงเม็ดเงินทั่วโลกรวมถึงไทยล้นระบบ และไม่มีช่องทางลงทุนอะไรที่ดี ในช่วงการระบาดของโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์ทำให้คนต้องอยู่บ้าน มีเวลา ไม่ค่อยได้ทำงาน จึงนำเงินออกมาลงทุนในตลาดหุ้นและคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งถือเป็นเทรนด์ทั่วโลก แม้กระทั่งตลาดหุ้นเวียดนามที่ล้าหลังกว่าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก แต่จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก

“บัญชีดิจิทัล” พุ่ง 150%

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (สิ้นเดือน มิ.ย. 64) พบว่ายอดเปิดบัญชีผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รวมอยู่ที่ 1,177,937 บัญชี เพิ่มขึ้น 708,807 บัญชี หรือประมาณ 151.09% นับจากเดือน ม.ค. 64 ที่มียอดเปิดบัญชี 469,130 บัญชี

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของยอดเปิดบัญชีของผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการแสวงหาผลตอบแทนในการลงทุน เมื่อมีสินทรัพย์ทางการเงินที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงเกิดขึ้น จึงมักจะสนใจเข้าไปลงทุน เช่น คริปโทเคอร์เรนซี

ประกอบกับการเปิดบัญชีซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและง่ายกว่าในอดีต ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้มีจำนวนผู้ซื้อขายให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงโซเชียลมีเดียที่เป็นแพลตฟอร์มในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการโพสต์เกี่ยวกับผลตอบแทนก็เป็นตัวเร่งให้มีการเข้ามาซื้อขายกันมากขึ้นและโดยส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่