โอไมครอน ฉุดหุ้นไทยเปราะบาง-สหรัฐพบผู้ติดเชื้อ

หุ้น

บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส ประเมินโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ฉุดตลาดหุ้นไทยเปราะบางผันผวนต่อ ตั้งแต่ 26 พ.ย-2 ธ.ค. 2564 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.57 หมื่นล้านบาท ผวาสหรัฐพบผู้ติดเชื้อ กดดันดัชนีความกลัว VIX Index ทำจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน กลยุทธ์วันนี้แนะถือเงินสดในมือ 25-35% รอสัญญาณดีขึ้นค่อยทยอยเข้าสะสม

วันที่ 2 ธันวาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด รายงานว่าภาวะตลาดหุ้นว่า วานนี้สหรัฐพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก อาทิ S&P500 เคยขึ้นไปถึง 1.9% ในระหว่างวัน ก่อนที่จะปิด -1.3% พร้อมกับกดดัน VIX Index (ดัชนีความกลัว) ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นปัจจุบัน มีความผันผวนสูงกว่าปกติมาก

ส่วนตลาดหุ้นไทยค่อนข้างที่จะเปราะบางจากประเด็นโควิด สะท้อนได้จากเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ตั้งแต่กังวลโควิดโอไมครอน (26 พ.ย-2 ธ.ค. 2564) ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.57 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 7.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามในระยะสั้นเริ่มเห็นแรงขายที่ชะลอลง และนักลงทุนสถาบันมีการกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรก

และเชื่อว่าในเดือน ธ.ค. จะมีฟันด์โฟลว์จากกองทุนประหยัดภาษี ที่ปกติจะมียอดซื้อเข้ามาเกิน 25% ของยอดซื้อทั้งปี และหากดูจากช่วงท้ายปี 2563 แล้วมียอดซื้อกองทุน SSF และ RMF ประเภทหุ้นไทยราว 8.8 พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 28% ของแรงซื้อทั้งปี 2563)

ส่วนต่างชาติแม้ยังขายสุทธิ แต่หากพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดการณ์ที่ระดับ 17.94% และหากรวมการถือครองผ่าน NVDR จะอยู่ที่ 23.20% ซึ่งห่างกับสมัยก่อนที่ถือครองเกิน 30% อยู่มาก

สรุปคือยังมีความคาดหวังเห็นเม็ดเงินจากกองทุนประหยัดภาษีมาช่วยพยุงหุ้นช่วงท้ายปี หากความกังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่กินระยะเวลาไม่นาน บวกกับฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยในระยะถัดไป จากสัดส่วนการถือครองที่อยู่ในระดับต่ำ

คำแนะนำการลงทุนในระยะสั้น ยังอยู่ในช่วงติดตามพัฒนาการโควิดโอไมครอนอย่างใกล้ชิด จึงแนะนำหลีกเลี่ยงสำหรับการเทรดดิ้งช่วงสั้น และสำรองเงินสดไว้บางส่วน เพื่อหลบความผันผวนของตลาด ในมุมกลับถ้าดัชนีที่ปรับฐานลงมาลึก ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว

กลยุทธ์วันนี้แนะถือเงินสดในมือ 25-35% รอสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วค่อยทยอยเข้าสะสม ส่วนพอร์ตที่เหลือแนะนำสร้างสมดุลด้วยหุ้นที่มีเกราะป้องกันโควิด อย่าง STGT, TU และ INSET เป็น Top pick

ทั้งนี้ประเด็นโควิดโอไมครอน ตลาดหุ้นให้น้ำหนักรายละเอียดและพัฒนาการความชัดเจนมากขึ้นหลัก ๆ 3 เรื่องคือ

1.ความเร็วในการระบาด : ข้อมูลปัจจุบัน มีการตรวจพบทั่วโลกใน 28 ประเทศ (ล่าสุดพบในสหรัฐ และเกาหลีใต้) เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นสัปดาห์ที่พบ 18 ประเทศ

2.ประสิทธิภาพของวัคซีน Covid ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน : จากความเห็นของบริษัทวัคซีนขนาดใหญ่ของโลกตลอดทั้งอาทิตย์ขัดแย้งกันดังนี้

– Moderna ซีอีโอกล่าวว่าสายพันธุ์โอไมครอนอาจทำให้วัคซีนของบริษัทลดประสิทธิภาพลงและต้องใช้เวลาหลายเดือนสำหรับผลิตวัคซีนใหม่ให้มีเพียงพอ

– AstraZeneca เผยว่า ไม่มีหลักฐานโอไมครอนสามารถหลบหนี Vaccine ได้

– Biotech ซีอีโอยอมรับโควิดโอไมครอนอาจทำให้คนฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อมากขึ้น แต่วัคซีนจะช่วยให้ไม่ป่วยรุนแรง และอาจไม่จำเป็นต้องพัฒนาวัคซีนใหม่ แต่แนะนำทุกคนรับวัคซีนเข็ม

3.การแสดงอาการ ความรุนแรง : มีความคืบหน้าเพิ่มเติม อาทิ ความเร็วการแพร่กระจายเร็วกว่า สายพันธุ์เดลต้า หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยยะ และมีโอกาสติดเชื้อซ้ำสูงขึ้น

โดยรวมฝ่ายวิจัยประเมินตลาดหุ้นโลกรวมถึงหุ้นไทยจะยังติดตามพัฒนาการการแพร่กระจายไปประเทศอื่น ๆ การจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจแต่ละประเทศจะเข้มงวดเพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพวัคซีนที่มีอยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น คาดช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้จะยังไม่ชัดเจน และคาดว่าจะมีผลทำให้สินทรัพย์เสี่ยง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังผันผวนสูง เห็นได้จากเมื่อคืนตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานแรง 1-2% และดัชนี VIX index ปรับเพิ่มขึ้น และเงินยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ และพันธบัตร คาดวันนี้ SET index ยังมีแนวโน้มผันผวนต่อ