โอไมครอน ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นเดือนพ.ย.ลดลง 19.9% ยังอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (- ก.พ.65) ลดลงมาจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”(Bullish) ที่ระดับ 135.16 ปรับตัวลดลง 19.9% ผลมาจากสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ไอโมครอนเข้ามากระทบ ด้าน “ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย” ชี้ปีหน้าตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้น มีโอกาสแตะระดับ 1,800 จุด มีปัจจัยบวกหนุนเงินต่างชาติลงทุนไทยเพิ่มขึ้น 

วันที่ 7 ธันวาคม 2564 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือนพ.ย. 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (- ก.พ.65) ลดลงมาจากเดือนก่อนหน้าที่ภาพเศรษฐกิจมีการแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นมากก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ไอโมครอนเข้ามากระทบ  แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”(Bullish) ที่ระดับ 135.16 ปรับตัวลดลง 19.9% ซึ่งเป็นระดับที่ยังดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่มีสถานการณ์โควิดสายพันธุ์เดลต้าระบาดหนัก โดยช่วงนั้นดัชนีลดลงไปอยู่ที่ระดับ 120 และลดลงไปต่ำสุดถึงระดับ 60

จากดัชนีความเชื่อมั่นจะเห็นได้ว่านักลงทุนไม่ได้มีความกังวลมากนักจากสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ไอโมครอน แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานกาณ์ต่อไปว่าจะรุนแรงแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ถ้าหากดูจากหลายๆประเทศ หรือแม้แต่สหรัฐเองก็ออกมาแจ้งว่าโอไมคอนไม่น่ากลัวอย่างที่คาดไว้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็จะทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนถัดไปสามารถปรับตัวกลับมาสูงขึ้นได้

โดยปัจจัยบวกหลักก็ยังคงเป็นเรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ  เนื่องจากนักลงทุนยังคงมั่นใจว่าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากที่เศรษฐกิจไทยมีการ underperform มาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องของการกระจายฉีดวัคซีนที่รวดเร็วมากขึ้น

ส่วนปัจจัยลบเป็นเรื่องความกังวลต่อการระบาดรอบใหม่ ของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน  และเรื่องของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กับมุมมองที่เปลี่ยนไปที่อาจมีการลด QE เร็วขึ้นและมากขึ้น รวมถึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งก็ยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดอยู่

SET index ณ สิ้นเดือน พ.ย.64 ปิดที่ 1,568.69 จุด ปรับตัวลดลง 3.4% จากเดือนก่อนหน้าทั้งนี้ในช่วงเดือน พ.ย. 64 SET Index ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม  ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน SET index ปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศจากความกังวลต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ซึ่งกำลังระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้หลายประเทศกลับมาใช้นโยบายปิดประเทศและจำกัดการเดินทาง รวมถึงการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในการคำนวณดัชนี MSCI ส่งผลให้ในเดือน พ.ย. นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในตลาดทุนไทยกว่า 10,182 ล้านบาท

นายไพบูลย์  กล่าวว่า  ในปีหน้า 2565 เชื่อว่าภาพรวมตลาดจะเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ดัชนีมีโอกาสแตะระดับ 1,800 จุด ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) เติบโตประมาณ 4% จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีจากฐานที่ต่ำในปีนี้

ซึ่งหากมองปัจจัยบวกในตลาดหุ้นไทยปีหน้าก็มีเรื่องของ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากประเทศไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ  รวมทั้งความต้องการซื้อที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Pent Up Demand)  ในปีหน้าก็จะเป็นส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้

“ถ้าการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ยังทำได้อยู่ในระดับที่ดีและตัวเลขผู้ติดเชื้อค่อยๆลดลง และมีการกระจายฉีดวัคซีนที่ดีต่อเนื่องตอนนี้จะเห็นว่าจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็ม 1 เพิ่มขึ้นมา 70 % และเข็ม 2 ก็อยู่ที่ประมาณ 60%  ซึ่งก็คาดว่าจำนวนผู้ได้รับวัคซีนจะเพิ่มได้เป็น 80% ได้ในปีหน้า และปีหน้าหากมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาได้เกิน 10 ล้านคนขึ้นไป น่าจะเป็นปัจจัยที่หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้พอสมควร ” นายไพบูลย์ กล่าว

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดขายที่น่าสนใจคือเรื่องของเงินเฟ้อ ที่หลายๆ ประเด็นกำลังกังวล แต่เงินเฟ้อในประเทศไทยไม่มีและเชื่อว่าจะสามารถคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับ 1-2 % ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำ  ซึ่งก็จะเป็นจุดขายจากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นและไม่มีปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลงซึ่งการที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ก็จะเป็นตัวที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้น ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยจะเป็นระบบเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ( Emerging Market)  ที่มีความน่าสนใจฉะนั้นอาจมีเงินไหลเข้ามามากขึ้นได้ในปีหน้

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวด้วยว่า ด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมออกมาค่อนข้างดี และคาดว่าปีหน้าน่าจะเติบโตได้อีก 10%  รวมถึงประเด็นที่ยังคงให้ความสนใจคือเรื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปีหน้าก็มีความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ฉะนั้นบรรยากาศก่อนการเลือกตั้งก็เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีการ สนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายเงิน ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการปรับขึ้นเพดานเงินกู้ขึ้นไปแล้วที่ 70% ของ GDP แล้วและอาจมีการกู้เงินเพิ่ม เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจก่อนมีการเลือกตั้ง

ส่วนค่าเงินบาทปีนี้ประเทศไทยเป็นค่าเงินที่อ่อนที่สุดในเอเชียซึ่งลดลงไปถึงประมาณ 11-12%  ซึ่งก็เป็นจุดที่สะท้อนว่าค่าเงินลดลงไปเยอะมากพอสมควรแล้ว โดยปีหน้าก็คาดว่ามีโอกาสที่เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาและส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดค่อยๆ ดีขึ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร