ไม่เลิก “เจอจ่ายจบ” ประกันเจ๊ง คปภ.ชนเจ้าสัวเจริญฟ้องศาล

ธุรกิจประกันภัยอลหม่าน พิษ “เจอจ่ายจบ” สะเทือนยักษ์ใหญ่ อาคเนย์ประกันฯเครือ “เจ้าสัวเจริญ” ออกโรงฟ้อง คปภ. ยื่นศาลปกครองยกเลิกคำสั่งนายทะเบียน เปิดทางยกเลิก “เจอจ่ายจบ” พร้อมขอศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว นายกสมาคมเผยโอมิครอนชี้ชะตาธุรกิจประกันภัยผวาเคลมพุ่งแสนล้าน เสียหายใหญ่กว่าน้ำท่วมปี’54 ด้านเลขาธิการ คปภ.แจงสู้ทุกประเด็น หวั่นผู้ประกัน 10 ล้านคนถูกลอยแพ บริษัทประกันลุ้นฟังคำสั่งศาลยึดเป็นแนวปฏิบัติ

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของแวดวงธุรกิจประกันภัยไทย เมื่อบริษัทอาคเนย์ประกันภัยและไทยประกันภัย บริษัทย่อยในกลุ่มเครือไทยโฮลดิ้งส์ (TGH) ธุรกิจประกันและการเงินเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ดำเนินการยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง คดีพิพาทหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กรณีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากประกาศคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่องให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย

จากคำสั่งดังกล่าวของ คปภ.คือห้ามบริษัทประกันยกเลิกกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดอย่างรุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า เป็นเหตุให้บริษัทเอเชียประกันภัยและบริษัทเดอะวันประกันภัย ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนต้องถูกปิดกิจการเมื่อปี 2564

เจ้าสัวฟ้องยกเลิก “เจอจ่ายจบ”

แหล่งข่าวในวงการประกันภัยกล่าวว่า ตอนนี้มีบริษัทประกันอีกอย่างน้อยอีก 2-3 ราย ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรง หากการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมียอดผู้ติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรวมถึงบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ของกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งล่าสุดได้ทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง

โดยเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 ศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องคดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 44/2565 โดยบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับพวก 2 คน เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1 และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยได้ยื่นฟ้องนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เรื่องกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยคำฟ้อง ได้ขอให้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ใน 2 ประเด็นดังนี้

1.พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่องให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกคำสั่ง

2.ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่องให้ยกเลิกเงื่อนไขใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี หรือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

คปภ.แจงทุกประเด็นศาลฯ

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ให้สัมภาษณ์หลังให้การกับศาลปกครองเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 65 ว่า ประเด็นหลักที่ศาลฯได้สอบถามคือ การฟ้องคดีอยู่ในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ โดยตามกฎหมายจะต้องฟ้องภายใน 90 วัน หลังจากที่ คปภ.มีคำสั่งนายทะเบียนออกมา

เพราะถ้าการฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลจะไม่รับคำฟ้อง ยกเว้นแต่เป็นกรณีเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน

“ข้ออ้างของผู้ฟ้องว่า คปภ.ไม่มีการส่งคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ให้บริษัทรับทราบ โดย คปภ.ได้ชี้แจงว่า คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เป็นคำสั่งทั่วไป ซึ่งปกติไม่มีกฎข้อบังคับให้ต้องส่งไปที่บริษัทประกัน ในทางปฏิบัติ คปภ.จะลงบนเว็บไซต์สำนักงาน คปภ.และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ประชาชนให้ความสำคัญ สื่อหลายสำนักทั้งหนังสือพิมพ์, วิทยุ, โทรทัศน์, ออนไลน์ ได้มีการเผยแพร่ข่าวในวงกว้าง”

ชี้ กม.ต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน

เลขาธิการ คปภ.ระบุว่า ผู้ฟ้องคดีจะอ้างว่าไม่ทราบคำสั่งไม่ได้ โดยได้มีการประกาศคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 64 ขณะเดียวกันผู้ฟ้องคดีทั้ง 2 บริษัทก็ออกมายืนยันหลังจากออกคำสั่งนายทะเบียนว่า เขายืนยันที่จะคุ้มครองผู้เอาประกันภัยโควิดทุกประเภทจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาคุ้มครอง ซึ่งการยืนยันตรงนี้ถือเป็นผลของคำสั่งนายทะเบียน

นอกจากนี้ในคำฟ้องก็ระบุชัดว่า จากข่าวที่ลงไปในหนังสือพิมพ์วันที่ 17 ก.ค. 64 ทำให้บริษัทจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เพราะกลัวจะถูกดำเนินการฐานประวิงคดีหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต

ดังนั้นข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ปรากฏว่าไม่ทราบคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ไม่เป็นความจริง เพราะจริง ๆ ต้องทราบตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 64 ซึ่งนับถึงวันที่ยื่นฟ้องเกินระยะเวลากำหนด เพราะต้องยื่นฟ้องภายในเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่รู้หรือควรจะรู้

ต่อสู้คำสั่งลงราชกิจจาฯ 12 ต.ค.

อย่างไรก็ตามทางผู้ฟ้องได้อ้างต่อว่า คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 คปภ.ต้องประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาก่อน จึงจะมีผลตามกฎหมาย ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมีการลงประกาศในราชกิจจาฯเมื่อ 12 ตุลาคม 2564 ดังนั้นเมื่อนับถึงปัจจุบันจึงยังไม่ครบ 90 วัน โดย คปภ.ได้ชี้แจงศาลฯว่า ในกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องส่งตัวคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ที่เป็นคำสั่งทางปกครองไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่การที่ส่งไปลงราชกิจจาฯเนื่องจากต้องให้ประชาชนได้รับรู้

หวั่นผู้เอาประกันถูกลอยแพ

เลขาธิการ คปภ.กล่าวอีกว่า ช่วงบ่ายวานนี้ (14 ม.ค. 65) ศาลฯได้สั่งให้พนักงานศาลพิมพ์เอกสารและรวบรวมเอกสารที่ คปภ.ส่งไปให้ โดยเฉพาะประเด็นที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อทุกสำนักที่ได้รับทราบไปในวงกว้าง โดยศาลยังไม่ได้สรุปตัดสินคดี ต้องพิสูจน์หลักฐานก่อน และจะนัดให้ คปภ.รับทราบคำสั่งว่าจะรับคดีไว้พิจารณาหรือไม่อีกครั้ง

หากศาลฯรับคดีไว้พิจารณา 2 ประเด็นที่ศาลจะต้องไต่สวนของผู้ฟ้องคือ 1.ขอให้เพิกถอนคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 และ 2. ขอคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 มีผลบังคับใช้เป็นการชั่วคราว เพราะฉะนั้นถ้าศาลฯรับฟ้องและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จะทำให้ผู้เอาประกันภัยโควิดทั้งหมดกว่า 10 ล้านคนถูกลอยแพแน่นอน เพราะระหว่างนี้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถที่จะบอกเลิกกรมธรรม์ฯได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญมาก ๆ ต่อพี่น้องประชาชน โดยศาลฯระบุว่า เนื่องจากเกี่ยวกับประชาชนจำนวนมากจะพิจารณาโดยเร็ว

ไม่มีใครใหญ่เหนือกฎหมาย

นายสุทธิพลกล่าวอีกว่า ไม่มีใครจะใหญ่เหนือกฎหมาย แม้กฎหมายจะระบุไว้ในกรมธรรม์ว่าสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ลูกค้าได้ แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อมีความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงในระดับสูงแล้วจะบอกเลิกกรมธรรม์แบบเหมาเข่ง ต้องพิจารณาแต่ละรายไป มีหลักฐานยืนยันและสอดคล้องกับกฎหมายสากล เพราะความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นจะวุ่นวายมาก ถ้าให้ยกเลิกเหมาเข่ง ต่อไปคนจะไม่ทำประกัน

เลขาธิการ คปภ.กล่าวว่า ในข้อเท็จจริง บริษัทประกันไม่ต้องรอนสิทธิผู้บริโภค โดยมีมาตรการทางเลือกอีก 11 มาตรการซึ่งสามารถทำได้ แต่บริษัทประกันไม่ดำเนินการ

“การทำประกันภัยโควิดเจอจ่ายจบ คือการที่ประชาชนผู้เอาประกันภัยมอบความไว้วางใจให้บริษัทประกันที่อาสามาช่วยบริหารความเสี่ยง ฉะนั้นการไปบอกเลิกกรมธรรม์ในช่วงวิกฤต ทั้ง ๆ ที่เคยสัญญาว่าจะคุ้มครองจนสิ้นสุดอายุการคุ้มครอง โดยโยนความเสี่ยงที่มากขึ้นกลับคืนไปให้ประชาชน ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้บริษัทประกัน จึงเป็นการเอาเปรียบประชาชนอย่างยิ่ง” นายสุทธิพลกล่าว

สมาคมฯชี้หนักกว่าน้ำท่วมปี’54

ขณะที่นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ 
“ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของบริษัทประกันวินาศภัยอยู่ในสถานการณ์ลำบาก บริษัทที่ขายประกันโควิดเจอจ่ายจบ ก็ประสบปัญหาขาดทุนจากการขายประกันเจอจ่ายจบทั้งสิ้น โดยจนถึงต้นปี 2565 ยอดเคลมประกันภัยโควิดน่าจะทะลุเกิน 40,000 ล้านบาทไปแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโอมิครอนผงกหัวขึ้น มีผู้ติดเชื้อรายวันแตะระดับ 8,000 รายต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่า จากยอดเดือน ธ.ค. 64

จากยอดผู้ติดเชื้อเดลต้าสิ้นปี’64 เกือบ 2.2 ล้านราย หรือติดเชื้อรุนแรงประมาณ 20,000 รายต่อวัน ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย. 64 ใช้เวลากว่า 100 วัน ธุรกิจประกันต้องจ่ายเคลมไปรวม ๆ กว่า 40,000 ล้านบาท กรณีโอมิครอนยังไม่รู้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจะเท่าเดลต้าหรือไม่ ต้องรอประเมินจนถึงเดือน มิ.ย. 65 ซึ่งเป็นช่วงที่กรมธรรม์โควิดเจอจ่ายจบส่วนใหญ่อีกกว่า 8-9 ล้านจะหมดอายุความคุ้มครอง

“ต้องดูว่าถึง มิ.ย. 65 ยอดผู้ติดเชื้อจะจบที่กี่ล้านราย ถ้าติดเชื้อรวม 10 ล้านคน ต้องจ่ายเคลมรวม ๆ กว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทประกันส่วนใหญ่ก็ไม่มีการทำประกันภัยต่อ ฉะนั้นความเสียหายอาจจะรุนแรงยิ่งกว่าน้ำท่วมใหญ่ปี 2554”

ด้านนายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงาน คปภ. กล่าวว่า ข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัยโควิดล่าสุดจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. 2564 พบว่ามีกรมธรรม์ทั้งหมด 41.63 ล้านฉบับ เบี้ยประกันภัยรับรวม 10,930 ล้านบาท ขณะที่ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงกว่า 37,800 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้จำนวนกรมธรรม์และเบี้ยประกันค่อนข้างนิ่งแล้ว แต่ยอดจ่ายเคลมประกันยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีกรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบในระบบที่ยังเหลืออายุความคุ้มครองอยู่อีกกว่า 7 ล้านฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าจะหมดอายุประมาณเดือน เม.ย.-มิ.ย. 65

หวั่นออกกรมธรรม์ใหม่ยาก

แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทประกันวินาศภัยรายหนึ่งกล่าวว่า ประเด็นในการต่อสู้คดีคงต้องแยกเป็น 2 ลักษณะคือ 1.อำนาจของนายทะเบียน (เลขาธิการ คปภ.) สามารถสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ได้ แต่ต้องไม่ไปย้อนหลังการให้ความเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยโควิดที่ได้อนุมัติเห็นชอบไปแล้ว

“หากประเด็นนี้เอกชนพ่ายแพ้ ต่อไปการออกกรมธรรม์ใหม่ ๆ คงต้องมีความลำบากใจ เพราะขัดหลักการประกันภัย และการประกันภัยต่อที่ทั่วโลกปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ที่ให้สามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้”

และ 2.หากศาลชี้ว่าคำสั่งห้ามยกเลิกกรมธรรม์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเอกชนจะไปยกเลิกกรมธรรม์หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบริษัทต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อบริษัทที่จะประกอบธุรกิจต่อไปในระยะข้างหน้า

กองทุนประกันฯถังแตก

แหล่งข่าวในวงการประกันภัยมองว่า กรณีประกันเจอจ่ายจบ ที่ส่งผลกระทบให้บริษัทประกันขาดสภาพคล่องจนต้องปิดกิจการนั้น ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยไทย และการที่บริษัทประกันภัยต้องปิดกิจการนั้น ไม่เพียงกระทบกับผู้ทำประกันโควิดเท่านั้น แต่รวมถึงผู้เอาประกันภัยประเภทอื่น ๆ ที่บริษัทให้บริการ อาทิ ประกันรถยนต์, ประกันภัยบ้าน (อัคคีภัย), ประกันสุขภาพ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังส่งผลให้กองทุนประกันวินาศภัยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชี (เยียวยาความเสียหายให้กับผู้เอาประกัน) ในกรณีบริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต เนื่องจากเงินหน้าตักที่สะสมมากว่า 5,600 ล้านบาท ดูเหมือนจะไม่พอจ่าย เพราะหนี้ความเสียหายจากยอดเคลมประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบของ 2 บริษัท (เอเชียประกัน และ เดอะวันฯ) รวมกันสูงกว่า 7,000 ล้านบาท โดยขณะนี้ทางคณะกรรมการกองทุนประกันฯก็มีการหารือถึงแนวทางที่จะต้องกู้เงินมาใส่ในกองทุน

โอมิครอนทุบประกันเจ๊งเพียบ

แหล่งข่าววงในธุรกิจประกันวินาศภัยกล่าวว่า ตอนนี้อาคเนย์ประกันภัยและไทยประกันภัยก็กำลังแย่ ทั้งสองบริษัทมีเงินกองทุนรวมกันแค่ 3,000 ล้านบาท แต่จ่ายเคลมประกันโควิดเจอจ่ายจบเป็น 10,000 ล้านบาทไปแล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้เพิ่มทุนไปแล้ว 6,000 ล้านบาทด้วย ดังนั้นจึงทำให้ทางบริษัทออกมาฟ้องศาลปกครอง ซึ่งขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ยังประสบปัญหา ซึ่งเท่าที่ทราบก็มีอีกหลายบริษัทที่อาการหนักเช่นกัน ทุกบริษัทก็รอลุ้นคำสั่งของศาลปกครองว่าจะออกมาอย่างไร

เช่นในกรณี บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ในช่วงไตรมาส 3/64 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 3,662.39 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 160.21 ล้านบาท โดยผลประกอบการ 9 เดือนขาดทุนสุทธิ 3,845.58 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากมูลค่ายอดจ่ายเคลมสินไหมเจอจ่ายจบในไตรมาส 3/64 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มูลค่าสูงกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ยังไม่ได้ออก ก็ต้องจับตาดูว่าจะออกมาอย่างไร