ทิศทางตลาดหุ้นเดือน ก.พ.-เทรนด์ปีเสือ หลังเฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง

เงินหุ้น

จับทิศทางตลาดหุ้นเดือน ก.พ.และเทรนด์ปีเสือ หลังเฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง กับ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย

วันที่ 31 มกราคม 2564 ท่ามกลางความกังวลต่อการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง เพื่อจัดการกับภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ภาพการลงทุนตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร สัปดาห์นี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับนักวิเคราะห์ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มานำเสนอ

Q : ภาพการลงทุนตลาดหุ้น รอบเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น เดือน ม.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนแรกของปี 2565 ที่หลายคนเหนื่อย เพราะภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ดัชนี MSCI GLOBAL ปรับตัวลงอย่างมีนัย เพราะถ่วงน้ำหนัก (weight) จากตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed market) โดยเฉพาะฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ปรับตัวลงไปเกือบ 8% ในขณะที่ตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Market) ก็ปรับตัวลงเกือบ 2-3% เช่นเดียวกัน

เหตุผลหลัก ๆ ได้รับผลกระทบจากเบอร์หนึ่งอย่างธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ได้ออกมาส่งสัญญาณ hawkish หรือว่าเตรียมพร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้ว่าการนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้ออกมาระบุว่า เขาพร้อมที่จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยังมีช่องว่าง (Room) ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างมีนัย กว่าที่จะไปกระทบภาคเศรษฐกิจและภาคการจ้างงาน

ตลาดเลยมีการตีความที่ค่อนข้างออกแนวเชิงลบ และส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงถูกไล่ขายกันมาเลย โดยเสี่ยงสูงสุดอย่างคริปโทเคอร์เรนซีก็ชัดเจนมาก เสี่ยงรองลงมาอย่างหุ้นกลุ่มแนสแดค (Nasdaq) หุ้นกลุ่ม FAANG และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกก็ปรับตัวลงมา 14-15% เช่นเดียวกัน

ส่วนอีกประเด็นที่กดดันตลาดคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) สหรัฐ ที่มีการปรับตัวขึ้นเกือบ ๆ  30-40 bps มายืนอยู่ที่บริเวณ 1.8% หรือเกือบ 1.9% ด้วยซ้ำ เลยเป็นที่มาว่าสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ เลยถูกกดดัน

สำหรับตลาดหุ้นไทย SET Index ทำท่าทำทีว่าตอนแรกจะทะลุแนวต้าน (Break) บริเวณ 1,680 จุด ล่าสุดลงมาทดสอบบริเวณ 1,617 จุด ซึ่งยังเป็นแนวรับที่ยังรับอยู่ อย่างไรก็ตามก็ต้องบอกว่ายังปรับฐานอยู่สำหรับ SET Index แต่ SET Index ถือว่า Outperform (มีประสิทธิภาพดีกว่า) เทียบกับตลาดหุ้นอเมริกา เพราะลดลงมาค่อนข้างน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

Q : เทรนด์การลงทุนในเดือน ก.พ.65 เป็นอย่างไร ต้องติดตามปัจจัยอะไรบ้าง

สำหรับในเดือน ก.พ.65 ประเมินว่าเป็นเดือนที่อาจจะเรียกได้ว่า ต้นเดือนแรกผ่อนคลายนิดหนึ่งก่อน หลังจากที่ทั้งเดือน ม.ค.65 ถล่มลงมา ผมมองว่ามันจะหยุดลงก่อน เพราะเริ่มรับรู้ไปแล้ว (Price in) เรื่องของดอกเบี้ยเฟดที่ขึ้นไป 4-5 ครั้ง และถามว่าเครื่องมือชี้วัด (Indicator) ตัวไหนจะ hawkish ต่อ นั่นคือการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค.65 ที่จะมีการรายงานในวันที่ 10 ก.พ.65

เพราะฉะนั้นต้นเดือนแรกของเดือน ก.พ.65 ผมมองว่าอาจจะมีโอกาสรีบาวนด์ได้ด้วยซ้ำ แต่ถามว่าจะขึ้นไปจุดสูงสุด (High) เดิมของต้นปีหรือไม่ ผมมองว่าคงไม่ อย่างดัชนี SET Index ผมประเมินว่าจะแกว่งอยู่ในกรอบประมาณ 1,645 จุด(บวก-ลบ) หรืออาจจะขึ้นไป 1,670 จุดก็ได้ แต่คงไม่ทะลุแนวต้าน (Break) จุดสูงสุดเดิมที่ 1,680 จุด แต่ถามว่าลงแรง ๆ ทะลุ 1,600 จุดเลยหรือไม่ ผมก็มองว่าคงไม่ โดยจะรอดูการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ

ซึ่งสมมติตัวเลขเงินเฟ้อรายงานออกมา ปรากฏว่าดันออกมามากกว่าความเห็นนักวิเคราะห์ (Consensus) ที่ประมาณการไว้ 0.4-0.5% จากเดือนก่อนหน้า ถ้ามากกว่าเยอะ ๆ หุ้นลงแน่นอน แต่ถ้ากลับกัน เป็นว่าออกมาแค่ 0.1-0.2% อันนี้หุ้นจะ V-shape และพุ่งขึ้นทะลุ 1,700 จุด

เพราะฉะนั้น กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.พ.65 เราประเมินกรอบดัชนี SET Index เดือน ก.พ. 65 แนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,610 จุด แนวต้านอยู่บริเวณประมาณ 1,680 จุด เพราะฉะนั้น 1,645 จุด อยู่บริเวณตรงกลาง

ส่งนจะลงทุนอย่างไรชัดเจนมาก ถ้าเป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) เด้งขึ้นมาเป็นจังหวะทยอยขายทำกำไร ส่วนหุ้นคุณค่า(Value Play) ไม่ต้องขาย และซื้อเพิ่ม เราจะเห็นได้เลยว่าหุ้น Value Play ในเดือน ม.ค.65 มี Outperform หุ้น Growth Stock ค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถตอบให้กับนักลงทุนฟังได้ว่าทำไมประเทศไทย ตลาดหุ้นปิดเดือนแรกอยู่บริเวณ 1,650 จุด (บวก-ลบ) ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบัน (Month to Date) ตลาดหุ้นบ้านเราไม่ได้ติดลบ ตลาดหุ้นอเมริกาลบลงไป 10% ตลาดหุ้นยุโรปลบลงไป 7-8% นั่นเพราะตลาดหุ้นบ้านเรามีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น Value Play เยอะที่สุดในภูมิภาค

คือจริง ๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่จริง ๆ ตลาดหุ้นบ้านเราเป็น Old Economy ไม่มีหุ้น Growth Stock ซึ่งต้องยอมรับว่าปีนี้เข้าทางตลาดหุ้นบ้านเรา เป็นแบบหุ้น Value Play เพราะฉะนั้นเป็นขาที่ทำให้ตลาดหุ้นบ้านเรา Outperform ดีกว่า

โดย 4 เซ็กเตอร์หลักที่อยู่ใน Domestic Play และ Value Play ทั้งหุ้นธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, ค้าปลีก, ไอซีที และจะเห็นได้เลยว่าถ้าเราประเมินถูก 4 หุ้นกลุ่มนี้จะวนเล่นกัน และทำให้ SET Index มี Outperform กว่าประเทศอื่น ๆ ได้ จากการที่ตลาดหุ้นบ้านเราเป็น Value Play

ฉะนั้น 4 เซ็กเตอร์นี้ทยอยซื้อได้เลย หุ้นแบงก์แนะนำ SCB, KKP หุ้นอสังหาริมทรัพย์ชอบ LH, PSH หุ้นไอซีทีแนะนำ DTAC, TURE และหุ้นค้าปลีกแนะนำ MAKRO ซึ่งจะวนเล่นอยู่ในเซ็กเตอร์ Domestic Play ที่เป็นหุ้น Value Play

Q : ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสจะขึ้นไปทะลุ 1,700 จุด ได้เมื่อไหร่

ผมว่าเดือน ก.พ.65 ยังไม่น่าเห็นเพราะเราประเมินกรอบไว้ 1,610-1,680 จุด ส่วนจะเห็นดัชนีทะลุ 1,700 จุดหรือเปล่า ไปรอดูการประชุม FOMC เดือน มี.ค.65 ถ้าเงินเฟ้อลงแรง ๆ แล้ว “พาวเวลล์” มีการปรับโทนว่าเงินเฟ้อเริ่มลงแล้ว ซัพพลายเชนเริ่มคลายความกังวลแล้ว ผมว่าดัชนี SET Index ทะลุ 1,700 จุดได้

Q : อยากให้ฝากข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สำหรับนักลงทุน

อยากฝากนักลงทุนว่าปีนี้ผมมองว่าไม่ได้เป็นปีที่นักลงทุนสามารถแสวงหาผลกำไร (Capital Gain) เพราะ 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่า Capital Gain มันค่อนข้างเยอะเพราะว่าตลาดหุ้นอเมริกา และหลายดัชนี (Index) ก็ All Time High ไป ส่วนตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาจาก บริเวณ 970 จุด ขึ้นอยู่บริเวณ 1,600-1,700 จุด

ผมประเมินว่าปีนี้เป็นปีที่ เนื่องจากแคแร็กเตอร์ของหุ้นไม่ใช่หุ้น Growth Stock เพราะฉะนั้น อย่าคาดหวังผลกำไร (Capital Gain) เยอะ แคเร็กเตอร์เป็นหุ้น Value Play ซึ่งจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น วันหนึ่งขึ้น 1-2% เมื่อเทียบกับหุ้น Growth Stock ที่ขึ้นวันหนึ่ง 5-10%

ปีนี้ลดความหวังของหุ้น Growth Stock ลง แล้วกลับมาอยู่ในหุ้น Value Play เซฟ ๆ ไปก่อน เพราะฉะนั้นอยากฝากว่าปีนี้อย่าเพิ่ง Leverage สูง เพราะมีปัจจัยเรื่องสภาพคล่องอะไรที่ไม่ค่อยเอื้อต่อตลาดหุ้นมากนัก แต่ถ้าจะชนะตลาดหุ้นได้ปีนี้อยู่ในกลุ่มปันผลและหุ้น Value Play อาจจะอืดชืดนิดหนึ่ง แต่ผมว่าให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี