เบทาโกร ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. ขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 500 ล้านหุ้น

ตลาดหุ้น
REUTERS/Chaiwat Subprasom/File Photo

เบทาโกร ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต.ขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 500 ล้านหุ้น นำเงินลงทุนเข้าซื้อ/ก่อสร้างฟาร์ม โรงงานแห่งใหม่-ชำระหนี้-ทุนหมุนเวียน รายได้ล่าสุดปี 64 กว่า 85,424 ล้านบาท

วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) รายงานว่า บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน(ไฟลิ่ง) เสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวนรวมไม่เกิน 500 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาทต่อหุ้น

มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)  และบริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โดยจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีวัตถุประสงค์การใช้เงินในครั้งนี้ (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวน และผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Agent) ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ดังนี้

1. เพื่อใช้ในการลงทุนในการเข้าซื้อและ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงโรงงาน ฟาร์ม รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ ซึ่งส่วนใหญ่รวมถึง

– การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม โรงชำแหละสัตว์ โรงงานแปรรูปอาหารและเนื้อสัตว์ รวมถึงการผลิตไข่ไก่และโปรตีนทางเลือกในประเทศไทย

– การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงชำแหละสัตว์ในประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมา

– การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง

– การลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Facilities) ตลอดจนการลงทุนเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงการจัดการและดำเนินธุรกิจ และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการจัดการและดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการลงทุนในกิจการร่วมค้า

2.ชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวของบริษัทฯ ให้กับสถาบันการเงินต่างๆ

3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ

ทั้งนี้มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี

โดยที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ประจำปี 2565 ของบริษัทเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสะสม 2564 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 750 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในเดือนพฤษภาคม 2565

สำหรับ “เบทาโกร” เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์สุกร สัตว์ปีก และไข่ไก่ อาหารแปรรูปที่เกี่ยวข้อง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ฟาร์ม และการดำเนินงานด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง 

โดยบริษัทฯ มีรูปแบบการทำธุรกิจแบบครบวงจร (Vertically Integrated Business Model) ที่ครอบคลุมในหลายด้านของห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ (Value Chain) ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยง และจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์สัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การชำแหละและการแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการขาย โรงงานผลิตและแปรรูปอาหารที่มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพของบริษัทฯ 

ตลอดจนความสามารถในการวิจัย และระบบควบคุมภายในของบริษัทฯ ซึ่งคอยติดตามและควบคุมทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่าของอาหาร ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมคุณภาพและบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย โดยมีการใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตามมาตรฐานสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับ

บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่วางขายภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม อาทิ แบรนด์ “BETAGRO” และ “S-Pure” สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์อนามัย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูป, แบรนด์ “ITOHAM” สำหรับผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเกรดพรีเมียม แบรนด์ “betagro” “Balance” และ “MASTER” สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบรนด์ “Better Pharma” และ “Nexgen” สำหรับผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ และแบรนด์ “Perfecta” “DOG n joy” และ “CAT n joy” สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง

ธุรกิจของบริษัทฯ สามารถจำแนกออกเป็น 9 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 

1.กลุ่มธุรกิจเกษตร ประกอบด้วยการผลิตอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ อุปกรณ์และเครื่องมือฟาร์มที่หลากหลาย และการให้บริการห้องปฏิบัติการ 

2.กลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อการบริโภค ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารในบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย อันได้แก่ เนื้อสด ผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งปรุงสุก และผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุก และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน

3.กลุ่มธุรกิจส่งออก ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารส่งออกไปยังต่างประเทศ 

4.กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ชนิดไม่แบ่งบรรจุ ประกอบด้วย การผลิตและการจัดจำหน่ายเนื้อสัตว์ในปริมาณมากให้แก่ช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศไทย 

5.กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผลิตภัณฑ์พลอยได้และอาหารอื่น ๆ ประกอบด้วย การจำหน่ายชิ้นส่วนของสัตว์ที่เหลือจากกระบวนการชำแหละ และการผลิตและจำหน่ายโปรตีนทางเลือกจากพืช 

6.กลุ่มธุรกิจปศุสัตว์ ประกอบด้วย การจำหน่ายปศุสัตว์ให้แก่ฟาร์มและผู้แปรรูปอาหารรายอื่น ๆ ในประเทศไทย (กลุ่มธุรกิจ ลำดับที่ (2) (3) (4) (5) และ (6) รวมเรียกว่า “กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน”)

7.กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ประกอบด้วย การประกอบธุรกิจในประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมา เพื่อการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร รวมถึง อาหารสัตว์ การเพาะพันธุ์สัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ อุปกรณ์ฟาร์ม และผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงสุกร สัตว์ปีก ไข่ไก่ เนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารแปรรูป

8.กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ประกอบด้วย การผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง ขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง และ

9.กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อันเกี่ยวกับการฝึกอบรมและสัมมนา และธุรกิจเพื่อสังคมของบริษัทฯ ซึ่งขายอุปกรณ์ฟาร์มไก่ไข่ รวมถึงให้บริการให้คำปรึกษา

โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีสาขาเบทาโกร 97 แห่ง ร้านเบทาโกรช็อป 207 แห่ง ร้านเบทาโกรเดลี 29 แห่ง และร้านเนื้อสัตว์อนามัย 710 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ทั่วประเทศไทย และมีร้านเบทาโกรช็อป 5 แห่งในประเทศลาว การดำเนินงานของบริษัทฯ มีทั้งการขายในประเทศและการส่งออกไปยังกว่า 27 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง

สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 2563 และ 2564 บริษัทมีรายได้รวมจากการขายสินค้าและการให้บริการ 74,231.6 ล้านบาท 80,102.1 ล้านบาท และ 85,424.0 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 1,267.5 ล้านบาท 2,341.0 ล้านบาท 839.0 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 1.7% 2.9% และ 1.0% ตามลำดับ 

มีสินทรัพย์รวมของบริษัท 47,521.6 ล้านบาท 50,342.1 ล้านบาท และ 57,475.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ โดยหลักประกอบด้วย ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ สินทรัพย์ชีวภาพ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และสินทรัพย์สิทธิการใช้

มีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ 15,392.9 ล้านบาท 17,146.1 ล้านบาท และ 15,522.2 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ เบทาโกร โฮลดิ้ง เคยเป็นบริษัทใหญ่ของบริษัทฯ จากการถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทฯ มากกว่า 50% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทฯ และสิ้นสุดการเป็นบริษัทใหญ่ของบริษัทฯ ในปี 2564 หลังจากที่กลุ่มครอบครัวแต้ไพสิฐพงษ์ได้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทฯ

โดยภายหลังการปรับโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว สัดส่วนการถือหุ้นของเบทาโกร โฮลดิ้ง ในบริษัทได้ลดลงเป็น 46.7% ทั้งนี้ เบทาโกร โฮลดิ้ง ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท