ส่องกองหุ้นไทย โอกาสลงทุนฝ่าความผันผวน

ลงทุน กองทุน
Photo by Campaign Creators on Unsplash

จากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวและยังไม่มีสัญญาณที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้หุ้นไทยมีโอกาสเติบโตและเป็นอีกตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ แม้ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวา แต่จะผันผวนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก

โดย “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า กองทุนหุ้นไทยในกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity/Large-Cap) กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก (Equity Small/Mid-Cap)

และกองทุนหุ้นไทยตามกลุ่มอุตสาหกรรม (TH Sector Focus Equity) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม (ณ 19 พฤษภาคม 2565) อยู่ที่ 6.85 แสนล้านบาท ลดลง 5.7% จากสิ้นปี 2564 เล็กน้อย และยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก มีมูลค่าเงินไหลออกสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 2.43 หมื่นล้านบาท

ซึ่งเป็นเงินไหลออกจากกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มีเงินไหลออกสุทธิ 2,600 ล้านบาท ในจำนวนนี้ราวครึ่งหนึ่งเป็นเงินไหลออกจากกองทุน LTF

โดยเงินไหลออกสุทธิอาจมีส่วนมาจากทิศทางที่เป็นบวกของหุ้นไทยในไตรมาสแรกที่มี SET TR (ผลตอบแทน) อยู่ที่ 3.2% ประกอบกับเงินลงทุน LTF ที่ครบกำหนดเพิ่มเติม และกองทุนหุ้นไทยตามกลุ่มอุตสาหกรรมมีเงินไหลออกสุทธิ 307 ล้านบาท

โดยกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปี คือ กองทุน TISCOWB-A จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 8.67% ขณะที่กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กสูงสุด คือ กองทุน PRINCIPAL TDIF-X จาก บลจ.พรินซิเพิลผลตอบแทนอยู่ที่ 11.33% (ดูตาราง)

“ในระยะถัดไปหุ้นไทยบางกลุ่มอาจได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น จึงยังคงมีความน่าสนใจในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทั้งนี้ หุ้นไทยยังถือเป็นส่วนสำคัญของการจัดพอร์ตการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยความเสี่ยงที่ยังมีความต่างจากหุ้นต่างประเทศ” นางสาวชญานีกล่าว

ขณะที่ “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ดูผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากปัจจัยที่กำลังเกิดขึ้นในโลกตอนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทยมากนัก

เพราะไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวเป็นหลัก จะเห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่กลับเข้ามามากกว่าทั้งปีที่ 2564 ฉะนั้น เศรษฐกิจปีนี้น่าจะขับเคลื่อนต่อไปได้

ทั้งนี้ ด้วยความที่ประเทศไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้อัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยจึงไม่มีผลกระทบและไม่น่าจะปรับขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ หุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นหุ้นคุณค่า (value stock) มากกว่าหุ้นเติบโต (growth stock)

ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจในต่างประเทศเสี่ยงถดถอยและมีความผันผวน ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง เนื่องจากเงินทุนสำรองของประเทศไทยยังมีอยู่มาก

“ตลาดหุ้นไทยน่าจะประคองตัวเองได้ และไม่น่าจะผันผวนมาก มองว่ามีแนวโน้มที่จะดี แต่ก็ดีแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ดีแบบชัดเจนเพราะว่าหุ้นไทยเป็นหุ้นคุณค่าฉะนั้น จะไม่ได้หวือหวาแต่ก็เป็นตลาดที่ยังสามารถลงทุนได้ และอาจจะเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดีในภาวะที่ต่างประเทศค่อนข้างผันผวน” นางชวินดากล่าว

ฟาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์” รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสกล่าวว่า หุ้นไทยปีนี้ยังถือว่าได้เปรียบเมื่อเทียบกับหุ้นต่างประเทศในหลาย ๆ มุมมองโดยปัจจัยที่หนุนให้ผลตอบแทนหุ้นไทยในปีนี้ยังแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่น ๆ คือ นโยบายการเงินของไทยที่คาดว่าอาจมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปีนี้

หรืออาจจะไม่ปรับขึ้นเลย ทำให้หุ้นไทยยังคงซื้อขายบน P/E ratio ในภาวะที่ปกติ ขณะที่หุ้นต่างประเทศอาจถูกกดดันให้ P/E ratio ลดลงได้ รวมถึงหุ้นไทยเป็นลักษณะของหุ้นคุณค่ามากกว่าหุ้นเติบโต เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีอยู่ไม่ถึง 10% ซึ่งหุ้นคุณค่าจะเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งและทำผลงานได้ดีในปีนี้

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์อยู่ จากเศรษฐกิจหลายประเทศที่ฟื้นตัวไปถึงช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว ซึ่งทำให้การเติบโตค่อนข้างที่จะจำกัดมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เท่าช่วงก่อนโควิด ทำให้หลังจากนี้ยังมีช่องว่างในการเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยจะได้เปรียบจากการฟื้นตัว” นายภราดรกล่าว


ทั้งหมดนี้กองทุนหุ้นไทยน่าจะปลอดภัยและน่าสนใจมากขึ้นในปีนี้