ออมสิน พร้อมรบ “สินเชื่อที่ดิน” กดดอกเบี้ยเหลือ 7-9% ชิงเค้กปล่อยกู้ปีละ 2 หมื่นล้าน

ออมสิน เงิน สินเชื่อ

ธนาคารออมสิน ลงขันร่วมกับ ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์-บางจาก คอร์ปอเรชั่น ตั้งบริษัท “มีที่ มีเงิน จำกัด” ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ลุยธุรกิจสินเชื่อที่ดิน-ขายฝาก คิดดอกเบี้ย 7-9% หวังกดดอกเบี้ยตลาดน็อนแบงก์ลง ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมกับ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมทุนจัดตั้งบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก รวมถึงขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่สินเชื่อส่วนบุคคลในลำดับถัดไป

โดยโครงสร้างการถือหุ้น บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ธนาคารออมสิน ถือในสัดส่วนหุ้น 49% กับ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 31% และกลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 20%

“การตั้งบริษัท มีที่ มีเงิน เดิมมาจากนโยบายของท่านรองนายกฯสุพัฒนพงษ์ ที่อยากจะให้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและคนที่มีที่ดิน แต่โดนดอกเบี้ยแพง จึงเกิดเป็นสินเชื่อมีที่ มีเงินขึ้นมา ซึ่งเราไม่ต้องการที่ดิน แต่อยากช่วยเหลือ โดยคาดว่าหลังจากทำสินเชื่อที่ดินแล้ว หลังจากนั้น 2 เดือนจะเริ่มทำสินเชื่อขายฝาก และกลางปี 2566 น่าจะทำสินเชื่อบุคคลได้ โดยเราพร้อมรบเต็มที่บนสนามนี้” นายวิทัยกล่าว

ทั้งนี้ แผนการดำเนินธุรกิจภายในเดือนตุลาคมนี้ จะเริ่มปล่อย “สินเชื่อที่ดิน” หรือ “มีที่ มีเงิน” ซึ่งเจตนาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนทั่วไป ที่มีที่ดินแต่ขาดสภาพคล่องให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนถูกลง เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ โดยเห็นผู้ประกอบการที่ไม่ใช้ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์) บางรายปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเพดานที่กำหนดไว้ 15% ธนาคารจึงต้องการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มนี้ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7-9% หลังจากที่ธนาคารได้เข้าไปช่วยกดดอกเบี้ยจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ไปก่อนหน้านี้

สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อที่ดิน คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้เฉลี่ย 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อมีที่ มีเงินได้ โดยในช่วง 2 ปี สามารถปล่อยวงเงินแล้วจำนวน 2 หมื่นล้านบาท จึงมองว่าเป้าหมายน่าจะทำได้

โดยวงเงินการปล่อยสินเชื่อจะอยู่ที่ไม่เกิน 50% ของราคาตลาด และไม่เกิน 70% ของราคาประเมินของกรมธนารักษ์ ซึ่งวงเงินสินเชื่อบุคคลธรรมดากำหนดอยู่ที่ 10 ล้านบาท และนิติบุคคลอยู่ที่ 50 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลูกค้าเข้ามาขอสินเชื่อจะอยู่ที่ราว 5 ล้านบาท ระยะเวลาการผ่อนชำระสินเชื่ออยู่ที่ 3-10 ปี

ขณะที่แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากสินเชื่อที่ทำไปมีเอ็นพีแอลไม่ถึง 0.5%

“บริษัทที่ตั้งมานี้เราจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารไม่สามารถทำได้ จะมาทำในบริษัทนี้ หลังจากที่ธนาคารได้เข้าไปช่วยกดดอกเบี้ยจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ไปก่อนหน้านี้จากดอกเบี้ย 28% ปัจจุบันลดลงเหลือ 17-18% ทำให้ดอกเบี้ยตลาดลดลงมา 10% ซึ่งเราก็จะขยายไปสู่โปรดักต์อื่นเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่โดนชาร์จดอกเบี้ยแพง หรือเข้าไม่ถึงแบงก์มาใช้บริการบริษัทนี้แทน” นายวิทัยกล่าว

นายสมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH กล่าวว่า การไปกู้เงินโดยใช้ที่ดินค้ำประกันของธุรกิจน็อนแบงก์ในตลาดจะคิดดอกเบี้ยประมาณ 18-22% ต่อปี โดยบริษัทที่เราร่วมทุนตั้งใจไว้ว่าจะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาดมาก เบื้องต้นคาดจะคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 10% ส่วนธุรกิจขายฝากที่ดิน ในตลาดจะคิดดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 15% เราตั้งเป้าจะคิดดอกเบี้ยแค่ 7-8% และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ในตลาดคิดดอกเบี้ยสูง 25-36% โดยเราตั้งเป้าจะคิดดอกเบี้ยประมาณ 20%

ทั้งนี้การทำกำไรของธุรกิจนี้ในตลาดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% กว่า ๆ เราจึงมองว่าถ้าเรามีมาร์จิ้นสักประมาณ 7-8% ก็ถือว่าเก่งแล้ว เพราะเราไม่ได้คาดหวังจะสร้างกำไรมหาศาล แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดช่วยเหลือประชาชนและสังคม

“มาร์จิ้น 7-8% ในแง่ของธุรกิจประกันภัยถือว่ายังดีกว่าไปลงทุนอย่างอื่น” นายสมพรกล่าว

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจาก กล่าวว่า กลุ่มบางจากให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคม เพื่อสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการดูแลและมอบความช่วยเหลือในช่วงฟื้นฟูจากผลกระทบของโควิด-19 แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจในทุกภาคส่วน

รวมถึงภาคการเกษตร ที่บางจากได้ร่วมทำธุรกิจผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ เครือข่ายปั๊มชุมชน และโครงการด้านพลังงานสะอาด เป็นต้น โดยมองว่าการร่วมทุนในนวัตกรรมทางการเงินอย่างธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ผ่านบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด

ในครั้งนี้จะมอบโอกาสใหม่ให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและลูกค้าบางจาก ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและต้นทุนสินเชื่อที่เป็นธรรม สำหรับเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินที่จำเป็นต่อการบริโภคหรือการดำเนินธุรกิจ บรรเทาปัญหาภาระหนี้สินและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชนรายย่อยได้อีกทางหนึ่ง สอดคล้องตามความมุ่งมั่นของกลุ่มบางจาก ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมมาโดยตลอด