หุ้นไทยไต่ขึ้นชดเชย ตลาดหุ้นสหรัฐบวก 3 วันติดต่อกัน หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย

หุ้น-ดัชนีหุ้น

“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้ไปต่อ โอกาสปรับตัวขึ้นบวกชดเชยในกรอบ 1,570-1,590 จุด หลังตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน รับประเด็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.75%-แรงผลักเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน บาทกลับมาอิงทางแข็งค่าเป็นบวกต่อเงินลงทุนต่างชาติ

วันที่ 1 สิงหาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index มีโอกาสปรับตัวขึ้นบวกชดเชยในกรอบ 1,570-1,590 จุด หลังตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน โดย S&P ปรับตัวขึ้นรวมกว่า 5% จึงมองจะส่ง Sentiment บวกมายังตลาดหุ้นบ้านเราด้วยเช่นกัน

ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวผันผวนอิงทางขึ้นใกล้แตะระดับ 98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนการประชุม OPEC+ ในสัปดาห์นี้ โดย CNBC รายงานว่า แหล่งข่าวเผยโอเปกพลัสจะคงกำลังการผลิตเท่าเดิม จึงอาจไม่มีอุปทานใหม่ออกมาเพิ่มเติม

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าต่อเนื่องก็เป็นบวกต่อราคาน้ำมัน จึงมองจะยังหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น ขณะที่เข้าสู่รอบประกาศผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ (COMM) และกลุ่มพลังงานบางส่วน ซึ่งยังได้รับผลดีจากมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวและค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูงในช่วงไตรมาส 2/65 จึงอาจเห็นแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มดังกล่าวด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เช้านี้น่าติดตามตัวเลข Caixin Manufacturing PMI เดือน ก.ค.ของจีน ซึ่งตลาดคาดชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้ามาที่ 51.5 ขณะที่วานนี้รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศตัวเลข Manufacturing PMI เดือน ก.ค. ออกมาที่ 49.0 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 50.4 จึงอาจเป็นแรงกดดันจำกัดการฟื้นตัวของตลาดได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังชอบ 1.หุ้นในกลุ่มค้าปลีก เช่น GLOBAL, DOHOME, ILM 2.หุ้นธนาคาร เช่น SCB, TTB, KKP, KBANK 3.หุ้นเปิดเมืองท่องเที่ยว เช่น MINT, CENTEL, ERW, MAJOR 4.หุ้นพลังงาน เช่น SPRC, IRPC, PTTEP, TOP

ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน รับประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นไปตามคาดที่ 0.75% และได้จากแรงผลักในส่วนของการเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ประเด็นที่ตามมาพร้อมกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนดูจะสนใจ คือ การย่อตัวของ GDP สหรัฐ ที่ออกมาติดลบ 0.9% จากไตรมาสก่อนหน้า ต่อเนื่องสองไตรมาสติดกัน ลักษณะนี้ตรงตามนิยามของ Recession ในระยะสั้น

โดยมีสาเหตุมาจากการย่อตัวลงของการบริโภคที่มีสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP สหรัฐ ขณะที่ส่วนใหญ่ที่น่ากังวลอีกส่วน คือ Business Investment ที่มีสัดส่วนกว่า 18% ของ GDP ซึ่งแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเช่นเดียวกับการบริโภค

ดังนั้น อาจยังเห็น GDP สหรัฐออกมาในเชิงติดลบต่อเนื่อง ภาพความกังวลดังกล่าวสะท้อนออกมาในค่าเงิน หลัง Dollar Index ปรับตัวลงต่อเนื่อง 3 วันลงมาแตะระดับ 105.2 จุด สวนกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทกลับมาอิงทางแข็งค่า บริเวณ 36.30 บาทต่อดอลลาร์ จึงมองหุ้นในกลุ่มบาทอ่อนจะได้รับผลบวกจากบาทที่เคยอิงทางอ่อนค่าน้อยลง แต่จะเป็นบวกต่อกระแสเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย