ความเห็นนิสิตนิติจุฬาฯ ปมตัดสินยุบก้าวไกล ตั้งคำถามถึงอนาคตพรรคใหม่

ความเห็นนิสิตนิติจุฬาฯ ปมตัดสินยุบก้าวไกล ตั้งคำถามถึงอนาคตพรรคใหม่

ฟังมุมมองความคิดเห็นของนิสิตนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักศึกษากฎหมายที่มีต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคก้าวไกล รวมถึงอนาคตที่เป็นไปได้ของพรรคใหม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง ผ่านคำวิจารณ์เต็มพื้นที่บนโลกโซเชียล ทั้งความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป รวมไปถึงบุคคลสำคัญทางการเมืองที่ออกมาแสดงความรู้สึกที่มีต่อคำวินิจฉัยการยุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ

“ประชาชาติธุรกิจ” พามาฟังความเห็นของนิสิตนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักศึกษากฎหมาย

กันตินันท์ ณ นคร นิสิตนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พรรคก้าวไกลให้อะไรกับเรา ?

นายกันตินันท์มองว่า อุดมการณ์และความตั้งมั่นที่สุจริตที่เชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายของประชาชน สอดคล้องกับนโยบายต่าง ๆ ที่พรรคก้าวไกลแสดงออกมา ผ่านการยอมทำในสิ่งที่พรรคอื่นไม่กล้าทำ ซึ่งมันเป็นทางออกที่ทำให้ประเทศของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ถึงแม้ว่าสมาชิกในพรรคก้าวไกลส่วนหนึ่งจะเป็นชนชั้นนำหรืออยู่ในกลุ่มบนของโครงสร้างทางสังคม ทำให้ถูกมองว่าไม่สามารถเข้าใจปัญหาของประชาชนได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในทางกลับกัน พรรคก้าวไกลยึดมั่นหลักการประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด  ซึ่งหลักการและอุดมการณ์ที่พรรคยึดมั่นนี้ที่นายกัลตินันทน์เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะนำพาประเทศไปสู่ทางที่ถูกต้องได้

เชื่อเริ่มใหม่แกร่งกว่าเดิม

นายกันตินันท์คิดว่าหลักการของพรรคก้าวไกล คือการลดอำนาจของชนชั้นนำที่ไม่ถูกต้องให้กลับมาอยู่ในมือประชาชน ถ้าหากว่าพรรคก้าวไกลไม่มีนโยบายการแก้ไข 112 พรรคก้าวไกลเองก็คงหาวิธีอื่นที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความเท่าเทียม และไม่มีอำนาจเก่ามาคอยรุกล้ำ และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วการยุบพรรคก้าวไกลก็ยังคงเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนที่ต้องการยุบพรรคก้าวไกลดังเดิม

นายกันตินันท์มองว่า พรรคใหม่ที่จะมาแทนที่พรรคก้าวไกลน่าจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ย้อนกลับไปช่วงเปลี่ยนผ่านจากพรรคอนาคตใหม่มาเป็นพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลเองก็ยังเต็มไปด้วยอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง และมีจุดยืนที่มั่นคงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยเชื่อมั่นได้ว่าพรรคใหม่นี้จะเป็นก้าวที่แข็งแรงต่อไป และจะก้าวเดินโดยไม่ลืมประชาชนไว้ข้างหลัง

Advertisment

พรรคใหม่-ผู้นำใหม่…จะเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่

นายกันตินันท์กล่าวว่า ต่อให้ทุกคนมองว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือภาพแทนของพรรคก้าวไกล เหมือนที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็มองว่านายทักษิณ ชินวัตร คือตัวแทนของพรรคเพื่อไทย หรือถ้าพูดถึงอนาคตใหม่ก็ต้องนึกถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่คิดว่าเราสามารถก้าวไปข้างหน้าในฐานะกองเชียร์พรรคก้าวไกล โดยมีอุดมการณ์ แนวคิดของพรรค

สิ่งที่ผู้นำคนใหม่นี้จะลงมือทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญ มากกว่าการยอมรับว่าผู้นำพรรคใหม่ในครั้งนี้จะเป็นใคร ถึงแม้ว่าการเป็นผู้นำจะส่งผลต่อท่าทีและภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองนั้น ๆ แต่อุดมการณ์และสิ่งที่พรรคเลือกจะทำก็คือ การยึดมั่นที่จะอยู่เคียงข้างประชาชนเหมือนเดิม

Advertisment

กันตชาต ชวนะวิรัช นิสิตนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 4

ความเห็นปมยุบพรรคในฐานะ น.ศ.กฎหมาย

นายกันตชาตให้ความเห็นในแง่นิติศาสตร์ว่า ผลการตัดสินเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 มาจากคำพิพากษาเมื่อเดือนก่อนที่บอกว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลคือการล้มล้างการปกครอง เพราะฉะนั้นคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นคือลูกโซ่ที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

มองว่าการนั่งถกกันเรื่องคำวินิจฉัยเป็นเรื่องสมควรหรือไม่นั้น ไม่ตรงเป้าหมายเท่าการคิดย้อนกลับไปว่าการตัดสินว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครองนั้นเป็นเรื่องสมควรหรือเปล่า

ส่วนในแง่ของข้อโต้แย้งของทางฝั่งพรรคก้าวไกลนั้น ตนไม่ได้มองว่าเป็นข้อโต้แย้งที่ไม่มีความแข็งแกร่ง แต่มันคือการหาทางดิ้นรนหยดสุดท้าย เนื่องจากข้อโต้แย้งที่ยื่นไปต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น แทบจะไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานั้นได้ ประชาชนจึงทำได้เพียงแค่มองว่าความผิดนี้ถึงขั้นจะต้องยุบพรรคหรือเปล่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การกระทำของพรรคก้าวไกลนั้นเป็นข้อเท็จจริงไปเสียแล้ว

มองกลับไปตอนที่นายพิธาถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐฟ้อง ในกรณีถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด ทำให้นายพิธาเสนอข้อเรียกร้องของตนเองต่อประชาชนอย่างเปิดเผย เพื่อต่อสู้ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ แสดงให้เห็นว่าวิธีการต่อสู้ของนายพิธาเลือกที่จะเปิดเผยข้อเรียกร้องของตัวเองนั้นได้ผลเป็นอย่างดี

ต่างจากสมัยพรรคอนาคตใหม่ที่มักจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าข้อต่อสู้ของพรรคนั้นไม่มีความเข้มแข็งพอ หรือเรียกได้ว่าเล่ห์กลทางนิติศาสตร์ไม่สามารถสู้พรรคการเมืองอื่น ๆ ได้ แต่การกระทำของนายพิธาในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองอื่น ๆ ก็สามารถเปิดเผยข้อเรียกร้องของตนเองได้อย่างเปิดเผยได้

ยุบพรรคไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ส่วนในแง่ของรัฐศาสตร์ นายกันตชาตมองว่าการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลนั้นไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับการเมืองฝ่ายซ้าย เพราะถือเป็นการทำลายที่พึ่งพิงสุดท้ายและเป็นที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของฝ่ายซ้ายเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายอื่นอย่างพรรคเป็นธรรมก็ตาม แต่เนื่องด้วยแคแร็กเตอร์ของพรรคเป็นธรรมที่ไม่ได้ครอบคลุมการเป็นฝ่ายซ้ายเทียบเท่ากับพรรคก้าวไกล ดังนั้น การสลายพรรคก้าวไกลย่อมสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับกลุ่มคนการเมืองฝ่ายซ้าย

เขามองว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือการจัดตั้งพรรคใหม่ รวมถึงผู้นำที่จะมาเป็นหัวหอกในพรรคใหม่นี้ จึงเกิดเป็นคำถามว่าจะมีใครที่มีคาริสม่า (Charisma) ในการเป็นผู้นำมากพอที่จะแทนที่นายพิธาได้ เหมือนครั้งก่อนที่นายพิธามาแทนที่นายธนาธรในสมัยการยุบพรรคอนาคตใหม่

แม้จะพูดกันว่า ทุบหนึ่งเกิดล้าน” แต่การที่จะต้องรวมใจคนนับล้านให้มาอยู่ด้วยกันได้ จำเป็นที่จะต้องใช้ผู้นำที่มีคาริสม่ามากพอ