เกิดอะไรขึ้น ‘มะเร็งรักษาทุกที่’ ต้องมีใบส่งตัว กระทบผู้ป่วย-หน่วยบริการ

สปสช. ผู้ป่วยมะเร็ง มะเร็งรักษาทุกที่ ใบส่งตัวผู้ป่วย

เกิดอะไรขึ้นกับนโยบาย ‘มะเร็งรักษาทุกที่’ เมื่อ สปสช. ปรับเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ และมีประเด็นเรื่องการใช้ใบส่งตัวเพิ่มเข้ามาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทำไมต้องกลับมาใช้ใบส่งตัว และการปรับเปลี่ยนนี้ จะกระทบผู้ป่วยและหน่วยบริการอย่างไร ?

มะเร็งรักษาทุกที่ หนึ่งในนโยบายของ สปสช. ที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เข้าถึงการรักษาการรักษาจากหน่วยบริการที่มีศักยภาพ เพื่อการรักษาที่รวดเร็วต่อเนื่อง เต็มประสิทธิภาพ และใกล้บ้าน

แต่การรักษามะเร็งในนโยบาย มะเร็งรักษาทุกที่ กำลังเป็นที่สับสนของผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษา เมื่อ สปสช. ออกประกาศฉบับใหม่ ปรับเกณฑ์การเบิกจ่ายในนโยบายดังกล่าว และกำหนดให้ผู้เข้ารับการรักษาในบางกรณี ต้องมีใบส่งตัวร่วมด้วย โดยอ้างถึงการลดความซ้ำซ้อนในการจ่ายงบประมาณ

“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนย้อนเรื่องราวว่า เกิดอะไรขึ้นในนโยบายนี้ และการปรับเกณฑ์ใหม่ สร้างความยุ่งยากให้ผู้ป่วยและหน่วยบริการอย่างไร

จุดเริ่มต้น มะเร็งรักษาทุกที่

นโยบาย ‘มะเร็งรักษาทุกที่’ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เห็นว่าโรคมะเร็งมีหลายชนิด และแต่ละโรงพยาบาลมีความสามารถและศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่แตกต่างกัน นโยบายดังกล่าวจึงเป็นการเปิดช่องให้ผู้ป่วยเลือกหน่วยบริการที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมในการบริการ โดยมีการปรึกษาร่วมกับแพทย์ผู้รักษา หรือเจ้าหน้าที่หน่วยบริการ

ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องรวดเร็ว และเต็มประสิทธิภาพ ลดเวลารอคอย ลดความยุ่งยากในการใช้ใบส่งตัว โดยเข้ารับการรักษาในหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่สามารถรับและส่งต่อผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว เข้าสู่กระบวนการรักษาได้รวดเร็ว

ADVERTISMENT

โดยเข้ารับการรักษาได้ใน 3 กรณี

1.หน่วยบริการรับการส่งต่อทั่วไปที่มีศักยภาพในการให้เคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรม คือ การสั่งการรักษา การผสมยา และการบริหารยาเคมีบำบัด ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือการให้ฮอร์โมน Tamoxifen สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม

ADVERTISMENT

2.หน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านรังสีรักษา สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามที่ สปสช.กำหนด

3.หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกเหนือจากข้อ 1 และ 2 ที่ให้การรักษาและบริการโรคมะเร็ง ดังนี้

3.1 การตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็งโดยครอบคลุมการประเมินระยะของมะเร็ง (Staging) ตามมาตรฐานของโรคมะเร็งแต่ละชนิด ทั้งนี้ไม่รวมการคัดกรองเบื้องต้น (Screening) หรือการศึกษาวิจัย

3.2 การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคมะเร็ง ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา รวมถึงโรคร่วมที่พบในการรักษาโรคมะเร็งในครั้งนั้น

3.3 การตรวจเพื่อติดตามผลการรักษา (Follow up) ภายหลังการรักษาโรคมะเร็งและโรคร่วมที่พบในการมารับการรักษาโรคมะเร็งในครั้งนั้น

ประเด็นใบส่งตัว มะเร็งรักษาทุกที่ เกิดขึ้นอย่างไร ?

ประเด็นการใช้ใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาตามนโยบาย ‘มะเร็งรักษาทุกที่’ เกิดขึ้นจากการที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แจ้งผู้รับบริการโรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ปรับเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล จากกองทุน Cancer Anywhere (มะเร็งรักษาได้ทุกที่)

เพื่อให้การรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาล จากหน่วยบริการต้นสังกัดตามสิทธิของท่านทุกครั้ง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษก สปสช. ชี้แจงว่า สปสช. ยังคงดำเนินการตามนโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ แต่กำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายกองทุนมะเร็งรักษาทุกที่ เฉพาะรายการให้เคมีบำบัด ฮอร์โมน หรือรังสีรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ทั้งบริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ทั้งนี้รวมบริการผู้ป่วยนอกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งกรณีที่มีเหตุสมควร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

สาเหตุที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการเบิกจ่ายเนื่องจากพบว่า การจ่ายเงินจากกองทุน Cancer Anywhere ที่ผ่านมานั้น พบว่าไม่ได้จ่ายเฉพาะการรักษามะเร็งอย่างเดียว แต่จ่ายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเรื่อง investigation (สอบสวนโรค) โรคอื่นที่ไม่สัมพันธ์กับการรักษามะเร็งในครั้งนั้นมากกว่าร้อยละ 50

ดังนั้นเพื่อให้การจัดการงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนของการเบิกจ่ายงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายใหม่ โดยแยกรายการเบิกจ่ายการรักษาโรคแทรก โรคร่วม หรือโรคอื่นๆ ที่ไม่สัมพันธ์กับโรคมะเร็ง ออกจากการจ่ายมะเร็งรักษาทุกที่ ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นค่าบริการที่อยู่ในงบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้จัดสรรให้กับหน่วยบริการไว้อยู่แล้ว และจ่ายเฉพาะบริการที่เกี่ยวกับมะเร็ง ได้แก่ เคมีบำบัด ฮอร์โมน หรือรังสีรักษา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ชี้แจงเงื่อนไขการจ่ายที่จะมีการเปลี่ยนแปลงให้กับหน่วยบริการไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีข้อเสนอแนะให้มีการปรับเงื่อนไขใหม่ เนื่องจากความกังวลว่าจะกระทบการให้บริการแก่ผู้ป่วยและทำให้ผู้ป่วยมีความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ สปสช.จะเชิญหน่วยบริการในระบบ Cancer Anywhere มาประชุมและหารือทางออกร่วมกันกับ สปสช.อีกครั้ง เพื่อทบทวนเงื่อนไขการเบิกจ่าย โดยจะนำเสนอข้อมูลการเบิกจ่ายที่ผ่านมา และหาทางออกร่วมกันกับหน่วยบริการต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบการให้บริการของหน่วยบริการและเพิ่มความไม่สะดวกให้กับผู้ป่วย

เปลี่ยนเงื่อนไขใช้ใบส่งตัว กระทบผู้ป่วย

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เกิดความสับสนต่อผู้ป่วยที่ถูกหน่วยบริการขอใบส่งตัว และอาจกระทบต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย

ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ให้สัมภาษณ์รายการตรงประเด็น ทางไทยพีบีเอส ระบุว่า ระบบที่ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวจะถูกจำกัดเฉพาะในส่วนของ การให้ยาและการฉายแสงเท่านั้น แต่หากผู้ป่วยต้องมารับการตรวจติดตาม เช่น ตรวจแล็บหลังให้ยา, ตรวจเอกซเรย์ หรือทำ CT scan ฯลฯ ทุกครั้งที่มีการนัดหมายหรือการตรวจ จะต้องมีใบส่งตัวเสมอ

ศ.นพ.มานพ สะท้อนเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้มีมุมที่ต้องพิจารณา คือ มุมผู้กำหนดนโยบาย อาจมองว่า การเบิกจ่าย Cancer Anywhere ควรครอบคลุมเฉพาะรายการที่เกี่ยวกับโรคมะเร็งโดยตรงเท่านั้น ไม่ควรรวมรายการหรือการรักษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง

แต่ในทางปฏิบัติ การแยกส่วนการเจ็บป่วยของผู้ป่วย ไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจน เพราะผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และการรักษามะเร็งอาจมีผลข้างเคียงที่กระทบไปยังโรคต่าง ๆ ทำให้ต้องปรับแผนการรักษาใหม่ แม้แต่ผู้ปฏิบัติงานเอง ต้องคำนึงถึงสุขภาพองค์รวม ไม่สามารถเจาะจงหรือแยกส่วนการรักษาได้

ปัญหาจึงกลับมาที่คนไข้จะต้องเผชิญความยุ่งยากมากขึ้น จากโครงสร้างระบบใหม่ที่กำหนดให้แยกแยะการรักษาที่เกี่ยวข้อง-ไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ออกจากกัน และการใช้ใบส่งตัว จึงเป็นหนทางของโรงพยาบาลในโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในขั้นตอนการเบิกจ่าย

ขณะเดียวกัน หน่วยบริการต้องเจอความเสี่ยง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการให้บริการ และการเบิกจ่ายกับ สปสช. เพราะหากเกิดความผิดพลาดจนไม่สามารถเบิกจ่ายได้ จะเกิดปัญหาด้านการเงินกับโรงพยาบาลได้ และอาจเกิดปัญหาเชิงระบบที่ภาระตกกับผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ

มะเร็งรักษาทุกที่ ทำผู้ป่วยทะลัก

ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผู้อำนวยการ รพ.ศรีนครินทร์ ให้ข้อมูลกับมติชน ระบุว่า ยอดผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ถูกส่งต่อเข้ารับการรักษาหรือได้รับสิทธิการส่งตัว ในระบบ สปสช.ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ ส่งผลกระทบกับ รพ.อย่างมาก เนื่องจากมียอดผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็งมากขึ้นจากเดิมกว่า 830%

กระทบในเรื่องของบุคลากร และการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาแพทย์และการบริการในด้านต่าง ๆ เพราะ รพ.ศรีนครินทร์ ไม่สามารถที่จะเพิ่มเตียง เพิ่มแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ได้ ซึ่งส่งผลต่อวงรอบของการรักษาหรือมาตรฐานทางการแพทย์ที่อาจจะเกิดขึ้น

จากเดิมแพทย์ 1 ท่านออกตรวจช่วงเช้า จากนั้นเข้าสู่การเรีนยนการสอนหรือการดูแลติดตามอากรผู้ปวยและงานวิจัย แต่มาวันนี้แพทย์ 1 ท่านออกตรวจเช้าถึงเที่ยงยังไม่เสร็จ ก็ต้องออกตรวจมาจนถึงบ่ายและล่วงเลยถึงค่ำ

ศ.นพ.สมศักดิ์ ระบุอีกว่า สปสช.ต้องใช้ระบบการส่งตัวและส่งต่อผู้ป่วยให้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอยู่หนองบัวลำภู และตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็ง ขั้นตอนแรกก็ต้องรักษาที่ รพ.หนองบัวลำภู ซึ่งหากเกินกำลังก็จะต้องส่งต่อการรักษามาที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี และส่งต่อการรักษามาที่ศูนย์มะเร็งอุดรธานี และหากเกินกำลังก็ถึงส่งต่อมาที่ รพ.ศรีนครินทร์

แต่ทุกวันนี้ ผู้ป่วยตรวจพบเป็นมะเร็ง หากใช้สิทธิ สปสช.ก็ขอใบส่งตัวมาที่ รพ.ศรีนครินทร์ทันที ทำให้ทุกวันเรามีผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆอยู่แล้วประมาณ 3,500-4,000 คนต่อวันก็จะมีผู้ป่วยมะเร็งมาสมทบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่กำลังพูดคุยกันคือวันที่ 25 ธ.ค.ที่จะถึงนี้รัฐบาลจะประกาศคิกออฟบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ซึ่งเป็นโครงการที่ดีมาก แต่โรงพยาบาล โดยเฉพาะ รพ.ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ จะได้รับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นยกตัวอย่างเช่นเดิมคุณหมอออกตรวจได้วันละ 100 คนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีกว่า 50%

จึงอยากให้กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.นั้นได้กำหนดรูปแบบการให้บริการที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และทันรอบเวลาในการรักษาอย่างเข้มงวดด้วย

ประธานชมรมแพทย์ชนบท เสนอ 3 ข้อ แก้ปัญหาใบส่งตัว

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ประเด็นใบส่งตัว ผู้ป่วยมะเร็งรักษาทุกที่ ระบุว่า “ใบส่งตัวเดิมเป็นเครื่องมือในการส่งต่อข้อมูลระหว่างแพทย์ ต่อมากระดาษใบนี้มีหน้าที่เพิ่มคือเป็นเสมือน invoice สำหรับเรียกเก็บเงินจากปลายทาง คนไข้หรือญาติต้องมาเอาใบส่งตัวอีก ทั้ง ๆ ที่โรงพยาบาลที่รับส่งต่อมีข้อมูลเต็มๆแล้ว ไม่ใช่ผู้ป่วยใหม่ ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์อะไรใหม่ที่ต้องเขียนใบส่งตัวอึกแล้ว เสียเวลาค่าเดินทางทั้งผู้ป่วยและญาติ เพิ่มงานเพิ่มความแออัดแก่โรงพยาบาลต้นทางอีกด้วย

คนไข้มะเร็ง ในโครงการ cancer anywhere โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยแจ้งเงื่อนไขต้องไปเอาใบส่งตัวที่หน่วยบริการปฐมภูมิทุกครั้ง แต่ สปสช.ประกาศว่า “ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” งานนี้ชัดเจน คนไข้กลัวไม่มีคิว ไม่ได้รับการรักษา ทุกคนก็ต้องยอมไปขอใบส่งตัวมาอีก สามสิบบาทรักษาทุกที่ ยังเป็นเพียงวาทกรรม

แล้วทางออกคืออะไร เบืัองต้น ผมเสนอหลัก 3 ข้อ

1. ทำให้“ใบส่งตัวคือใบส่งต่อข้อมูลเพื่อการรักษาผู้ป่วย” “ให้ผู้มีอำนาจวางระบบให้ยุติหน้าที่ใบส่งตัวในฐานะ invoice หรือหลักฐานเรียกเก็บเงินในทุกกรณี” การบังคับให้ต้องมีใบส่งตัวเพื่อจะได้รับการรักษาฟรีตามสิทธินั้น สร้างความทุกข์และผลักภาระให้ผู้ป่วยและญาติเกินจำเป็น เป็นการปิดกั้นการเข้าถึงบริการอันเป็นสิทธิ์ตามกฏหมาย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยมีประวัติที่เพียงพอแล้ว มีคิวนัดแล้ว ก็ไม่ควรต้องมาเอาใบส่งตัวอีก

2. หาเครื่องมืออื่น ในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลระหว่างโรงพยาบาลที่ไม่ใช่ใบส่งตัว เป็นกฎกติกาข้อตกลงร่วมที่มี สปสช.เป็นคนจ่ายหรือเป็น clearing house เป็นระบบธุรกรรมหลังบ้าน เคลียร์กันเอง คุยกันเอง ระหว่างโรงพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยและญาติต้องลำบาก ทุกข์จากความเจ็บป่วยก็มากพอแล้ว แต่แน่นอน อัตราการตามจ่ายจะเป็นอัตราที่สมเหตุสมผลไม่เน้นทำกำไร

3. ในระยะยาว รัฐบาลควรทำระบบโปรแกรมเวชระเบียนกลางแห่งรัฐขึ้นมา ทดแทนการที่ต่างโรงพยาบาลต่างมีโปรแกรมที่ซื้อมาเองจากเอกชน เมื่อนั้น การเข้าถึงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลจะง่ายขึ้น ภายใต้กติกาการรักษาสิทธิผู้ป่วยในการเก็บความลับผู้ป่วย แล้วจะเป็นการส่งตัวแบบดิจิตอลโดยสมบูรณ์

ความโกลาหลของการใช้/ไม่ใช้ใบส่งตัว cancer anywhere เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความทุกข์ผู้ป่วยจากใบส่งตัวทุกประเภท น่าจะถึงเวลาของการปฏิรูปใหญ่

สงครามใบส่งตัวคือสัญญะแห่งความขัดแย้งของระบบการรักษาพยาบาลหลายสังกัด งบประมาณที่น้อยลงคือหนึ่งในต้นเหตุ แต่เราก็ไม่ควรผลักภาระมาให้ผู้ป่วย เพราะสุขภาพและการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยคือสิทธิคือสวัสดิการสังคมที่คนทั้งโลกอิจฉาคนไทย เราจึงควรช่วยกันผ่าฟันไปให้สำเร็จ”

เลื่อนใช้ประกาศใหม่-ขอเวลา 3 เดือน ศึกษาปัญหาร่วมกัน

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ชี้แจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในโครงการ “มะเร็งรักษาทุกที่” หรือ Cancer Anywhere ว่าจากกรณีที่มีข่าวระบุว่าโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ว่าจะมีการยกเลิกนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่มีการยกเลิกและยังคงดำเนินการต่อ

เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน โดยเฉพาะการที่ สปสช.ได้ปรับหลักเกณฑ์เสมอ แต่ยังคงยืนยันว่าผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสามารถไปรับบริการที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งได้ ไม่ว่าจะเป็นรังสีรักษา เคมีบำบัด การผ่าตัด และการให้ฮอร์โมนได้ทุกที่โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา สปสช. ได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงเรียนแพทย์ ได้แก่ รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.จุฬาภรณ์ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และมีข้อสรุปร่วมกัน 3 ข้อดังนี้

1. สปสช.จะผ่อนผันการบังคับใช้ประกาศมะเร็งรักษาทุกที่ฉบับใหม่ออกไปก่อนเป็นระยะเวลา 3 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568

2. ระหว่าง 3 เดือนนี้ ผู้ป่วยมะเร็งยังคงใช้บริการตามแนวทางมะเร็งรักษาทุกที่หรือ Cancer Anywhere เหมือนเดิม โดยผู้ป่วยรายเดิมยังคงเป็น Cancer Anywhere ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวเพื่อประกอบการเบิกจ่ายงบประมาณ สปสช.จะจัดสรรงบให้หน่วยบริการโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

ส่วนผู้ป่วยที่ทาง รพ.รับส่งต่อต้องการดูข้อมูลผู้ป่วยสามารถดูผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วย ขณะที่หน่วยบริการใช้ระบบการเบิกจ่ายเหมือนเดิม

3. และภายใน 3 เดือนนี้จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อหารือร่วมกันโดยยึดหลักการผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ซึ่งที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะทำงานร่วมโดยมอบให้ นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เป็นประธาน ในการหาข้อสรุปประเด็นปัญหาการดำเนินงานโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) ทั้งในอดีต ปัจจุบัน

และวางแผนเสนอการทำโครงการนี้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและหน่วยบริการในอนาคต ทั้งในประเด็น การบริการ ยาที่ใช้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ งบประมาณ ภาระงานที่เกิดขึ้น รวมถึงการเบิกจ่ายต่างๆ โดยจะมีการสรุปและทำข้อเสนอซึ่งจะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 15 มกราคม 2568

หลังจากนี้ต้องติดตามผลการหารือของคณะทำงานแก้ปัญหานโยบาย ‘มะเร็งรักษาทุกที่’ ว่าจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้อย่างไร และจะวางแผนการทำงานในอนาคตไม่ให้กระทบต่อผู้ป่วยอย่างไร