กระทรวงท่องเที่ยวฯ จ่ายเยียวยานักท่องเที่ยวจีนเหตุเรือล่ม 63 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ (กรณีพิเศษ) เปิดเผยว่า กองทุนจะจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ 135 คน รวม 63.9 ล้านบาท จากเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มจำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือฟีนิกซ์ เรือเซเรเนต้า และเรือเจ็ตสกี ที่บริเวณเกาะเฮ เกาะราชา และเกาะท่อนไม้ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จากฝนตกหนักและคลื่นลมแรง เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นกรณีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 56 ราย รายละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 56 ล้านบาท กรณีบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาพยาบาล รวม 10 ราย รายละ 5 แสนบาท รวม 5 ล้านบาท กรณีฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวม 74 ราย รายละ 2 หมื่นบาท รวม 1.48 ล้านบาท และกรณีหยุดชะงักของการเดินทางของ 74 ราย รายละ 2 หมื่นบาท รวม 1.48 ล้านบาท โดยเงินเยียวยาดังกล่าวจะเพิ่มเติมจากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้รับจากบริษัทประกันและบริษัทนำเที่ยว ซึ่งกระทรวงจะนำเงินช่วยเหลือเยียวยามอบให้แก่เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย ที่ จ.ภูเก็ต ภายในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้

“กระทรวงจะรีบดำเนินการ โดยผู้ใหญ่ของกระทรวงจะลงพื้นที่และนำเงินช่วยเหลือไปมอบให้ภายใน 2-3 วันนี้ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นกระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างรุนแรง กองทุนจึงให้จ่ายเงินเยียวยาเป็น 1 ล้านบาท สำหรับผู้เสียชีวิตจากปกติ 3 แสนบาท เช่นเดียวกับเหตุระเบิดที่ย่านราชประสงค์ รวมทั้งยังได้อำนวยความสะดวกให้กับญาติของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในไทย ทั้งที่สนามบิน รถบัส รถตู้สำหรับการเดินทาง และโรงแรมที่พัก มัคคุเทศก์เพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งการฌาปนกิจทุกศาสนา หากต้องการฌาปนกิจในไทย” นายพงษ์ภาณุกล่าว

นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของไทย ปี 2560 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนสัดส่วนกว่า 30% หรือกว่า 10 ล้านคน ปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้น 10-20% หรือมากกว่า 11 ล้านคน ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะกระทบความรู้สึกนักท่องเที่ยวบ้าง แต่เชื่อว่าทั้งปีนักท่องเที่ยวจีนจะยังขยายตัวได้ตามเป้าหมาย โดยนอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมีการทำตลาดในระยะต่อไปด้วย

 

ที่มา : มติชนออนไลน์