กระทรวงสาธารณสุขตั้งโต๊ะแถลง ไทยจำเป็นต้องชะลอการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าออกไปก่อน เนื่องจากยุโรปพบอาการลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ 22 ราย เสียชีวิต 1 ราย สั่งงดหลายประเทศ รอผลสรุป 1-2 สัปดาห์
วันที่ 12 มีนาคม 2564 ภายหลังกระทรวงสาธารณสุข ประกาศยกเลิกการรับวัคซีนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีอีก 15 คน เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. หลังมีรายงานจากประเทศฝั่งยุโรป ได้แก่ เดนมาร์ก และออสเตรีย พบผู้ฉีดวัคซีนมีอาการข้างเคียง “ลิ่มเลือดแข็งตัว” ในหลอดเลือดดำ ซึ่งทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขแถลงถึงกรณีดังกล่าว โดย ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยากร ที่ปรึกษาด้นยุทธศาตร์ และแผนงานการบริหารจัดการ การให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด19) กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว ทำให้คณะแพทย์ และทีมงานต้องนำมาพิจารณา เพราะการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนคนไทย ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หวังอย่างเดียวว่า วัคซีนนั้นต้องปลอดภัยที่สุดสำหรับประชาชน
ฉะนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เราไม่จำเป็นต้องรีบฉีด ถึงแม้ว่าแอสตร้าเซนเนก้าจะมีประสิทธิภาพที่ดี แต่เมื่อมีคนบอกให้ชะลอก่อน เราก็ต้องรอผลสืบค้นของฝั่งยุโรป ว่าผลข้างเคียงได้เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนหรือไม่
“ความปลอดภัยของประชาชนคือเป้าหมายสูงสุดของกระทรวงสาธารณสุข วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าไม่ใช่ไม่ปลอดภัยเพราะฉีดไปแล้วทั้งโลกประมาณ 34 ล้านโดส มีผลข้างเคียงบ้าง แต่กำลังสืบค้นอยู่ เพื่อความปลอดภัยขอประชาชนเราต้องรอฟังผมคิดว่าอย่างมาก 1-2 สปดาห์ ถ้าผลออกมาสร้างความมั่นใจเราถึงจึงมาฉีดประชาชน ตอนนี้เราสั่งมาแค่ประมาณ 1 แสนโดสยังไม่ใช่จำนวนมาก”
ด้าน ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวเสริมว่า สืบเนื่องจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าประเภท ABB53000 1 ล้านโดสถูกส่งไปยัง 17 ประเทศในสหภาพยุโรป แล้วมีการทยอยฉีดแต่ปรากฏว่า เดนมาร์กพบผู้ป่วย 1 รายที่เสียชีวิต ขณะเดียวกันก็มีผู้ป่วยหลายรายเกิดลิ่มเลือดขึ้นตามหลอดเลือด ทางรัฐบาลเดนมาร์กประกาศหยุดการฉีดเพื่อสืบค้นความจริง
ขณะเดียวกัน ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ ก็ประกาศหยุดตามเพื่อชะลอติดตามผลความปลอดภัย เมื่อวาน EMA (European Medicinines Agency) ได้ออกมาประกาศว่า “เหตุการณ์นี้ไม่ได้ประกาศให้หยุดใช้ แต่ให้ชะลอ พร้อมยืนยันว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าปลอดภัย” แต่เพื่อความมั่นใจต้องรอการตรวจสอบผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ ขณะนี้ EMA ก็ได้มีการประเมินอุบัติการการเกิดลิ่มเลือดอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เพิ่งเผยแพร่มาไม่กี่ชั่วโมง สำหรับไทยแม้ไม่ได้ใช้วัคซีนตัวนี้ แต่ก็ยังต้องชะลอเช่นกัน
ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก กล่าวว่า การเกิดลิ่มเลือด ซึ่งโรคนี้เกิดได้ เช่น เวลาเราขึ้นเครื่องบินเราจะเห็นว่ามีคำแนะนำว่าให้เราขยับร่างกายหรือกินน้ำเยอะ ๆ หรือแม้กระทั่งบางคนอาจจะต้องกินแอสไพรินก่อนเพื่อละลายลิ่มเลือด เพราะถ้าเรานั่งนาน ๆ หรือผู้สูงอายุที่นอนนาน ๆ โอกาสเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำก็มี และมีโอกาสที่จะอุดในปอด เพราะเลือดดำจะไหลเข้าปอด ถ้าไปอุดปอด เลือดก็จะกลับเข้าปอดไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นก้อนใหญ่ก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
ส่วนอุบัติการณ์อันนี้จะพบมากในคนเชื้อชาติแอฟริกากับยุโรปมากกว่าเอเชีย โดยปกติแล้วคนยุโรปจะพบมากกว่าคนเอเชียถึง 3 เท่า เราเชื่อว่าปัจจัยของพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับโรคนี้ แล้วโรคนี้พบได้อยู่แล้วในภาวะปกติ
ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้าประเภทนี้ มีการฉีดไปทั้งสิ้น 3 ล้านโดส ปรากฏว่ามีผู้ป่วยเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ 22 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 1 ราย ตามอุบัติการณ์เท่ากับ 7 ในล้าน หมายถึงโอกาสการเกิดเท่ากับ 7 ในล้านราย แน่นอนว่าต้องมีการสอบสวนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่
ศ.นพ.ยง ยังได้ ยกตัวอย่างการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในนอร์เวย์ที่มีการเสียชีวิตถึง 28 คน แต่ต่อมาผลจากการตรวจสอบแล้วส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ สถานพักคนชรา ส่วนใหญ่อายุมากกว่า 80 ปี แล้วอัตราการเสียชีวิตเมื่อสืบสวนลงลึกแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ต่อมาทุกคนก็ฉีดกันปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นเราก็ต้องสงสัยไว้ก่อน ฉะนั้นการเลื่อนครั้งนี้เราไม่ได้บอกว่าวัคซีนไม่ดี ไม่ได้บอกว่าวัคซีนอันนี้จะมีปัญหา เป็นการเลื่อนรอดูสถานการณ์ให้ฝั่งยุโรปเขาพิสูจน์กันก่อนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะเรารู้ว่าวัคซีนที่เขาใช้ในยุโรปกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เราใช้อยู่ มันคนละแบบกันแน่นอน เพราะของเขาใช้แบบผลิตในยุโรป แต่ของเราใช้แบบที่ผลิตในเอเชีย คณะกรรมการจึงเห็นผลตรงกันว่าควรชะลอออกไปก่อน