คณบดีคณะดนตรี “เอแบค” โพสต์ถึง “มิลลิ” หลังโดนหมายเรียก

มิลลิ

คณบดีคณะดนตรี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โพสต์ข้อความถึง “มิลลิ” เล่าความประทับใจ-ความกล้า หลังโดนหมายเรียกข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา จากการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ภายหลังจากเมื่อช่วงเช้า นางสาวดนุภา คณาธีรกุล หรือ มิลลิ แรปเปอร์สาวชื่อดัง ได้เข้ารายงานตัวตามหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ สน.นางเลิ้ง ในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามมาตรา 393 พร้อมเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท จากกรณีที่โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ผศ.ดร.ปัณณวิช สนิทนราทร คณบดีคณะดนตรี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ ABAC School of Music เล่าเรื่องราวของมิลลิตั้งแต่ช่วงเข้าศึกษาต่อที่เอแบค ที่ได้สร้างผลงานและสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้กับทางมหาวิทยาลัย

ตอนหนึ่งของโพสต์ คณบดี เล่าว่า คณะดนตรีของเอแบคยึดมั่นเรื่องความเสมอภาค ความเท่าเทียม และการให้เกียรติกันและกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ จะต้องไม่มีการบูลลี่กัน หรือต่อให้ตนที่เป็นครูทำผิด ก็พร้อมที่จะยกมือไหว้และขอโทษนักศึกษาก่อน ตนได้คุยกับมิลลิเพื่อทำความเข้าใจกันก่อนว่า ตอนนี้มิลลิเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะไปแสดงที่ไหน ก็จะได้รับการดูแลแบบพิเศษเสมอ

แต่ วันนี้มิลลิไปในฐานะนักศึกษาคณะดนตรีเอแบค ทุกคนเท่าเทียมกัน กินข้าวด้วยกัน ข้าวหน้าตาเหมือนกัน ถ่ายรูปด้วยกัน ซึ่งตนเองเข้าใจในความหวังดีของสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการรับรองมิลลิในฐานะศิลปิน แต่ตนจะบอกทุกครั้งเวลาเจ้าภาพจะหาห้องรับรองหรือจัดเลี้ยงข้าวในห้องพิเศษว่า ถ้าคุณเตรียมข้าวกล่องไว้ให้พวกเรา ถ้าอย่างนั้นมิลลิจะกินข้าวกล่องด้วย แต่ถ้าคุณอยากจะเลี้ยงรับรองมิลลิ ต้องเลี้ยงแบบเดียวกันกับมิลลิอีก 10-20 ชีวิตที่มาด้วย

ขณะที่ตัวมิลลิเองก็บอกกับตนทันทีว่า “หนูเข้าใจเลยค่ะ ต่อให้อาจารย์ยอม หนูก็ไม่เอาค่ะ เพราะวันนี้ ที่นี่ หนูคือ ดนุภา แค่เด็กนักศึกษาคนนึง” ตนรู้สึกดีใจ เพราะนี่คือเด็กที่รักความถูกต้องและความถ่อมตัวในเวลาเดียวกัน

คณบดี เล่าว่า มิลลิเป็นเด็กที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก เอาใจผูกและให้ใจกับทุกสิ่งที่ทำ มีแพชชั่นเต็มเปี่ยมที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงอะไร การจะออกมาพูดอะไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มันต้องใช้ความกล้าหาญมากนะ การที่น้องเดินไปบอกใครว่า “หนูว่าอันนี้ไม่เวิร์ค แบบนี้จะดีกว่าไหมคะ” แสดงว่ามิลลิต้องใช้ความกล้า เสี่ยงว่าพูดไปอาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจก็ได้ แต่ถ้าไม่พูด ไม่ทำอะไร มันก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

ที่สำคัญการอยากจะสร้างความเปลี่ยนแปลง แสดงว่าเราต้องมีความรักกับสิ่งนั้น ถ้ามิลลิต้องการให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ตนเชื่อว่านั่นเพราะมิลลิรักประเทศนี้ และอยากให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับประเทศ เราเองเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ได้ยากเกินไปเลยในยุคนี้ที่จะหยุดฟังเด็ก ถ้าเด็กพูดไม่ไพเราะ ก็บอกไปว่ามาพูดกันไพเราะ ๆ มาพูดกันดี ๆ แล้วมาหาทางออกร่วมกัน

แต่อย่างน้อยที่สุด ตนเองก็ภูมิใจแทนมิลลิมาก ๆ ที่เห็นคนรักและออกมาสนับสนุนให้กำลังใจมากมายขนาดนี้ ตนจึงอยากส่งกำลังใจให้ด้วยการเล่าเรื่องในอีกมุมหนึ่งในฐานะ “เด็กนักศึกษาคนหนึ่ง” ที่คงไม่มีใครรู้ และอยากให้มิลลิรู้ไว้เสมอว่า บ้านหลังนี้เป็นกำลังใจให้เสมอ และรอวันที่มหาวิทยาลัยจะได้กลับมาเปิดสอนที่แคมปัสอีกครั้ง แล้วเจะได้จัดหนักลุยไปด้วยกันอีกครั้ง