ดีเอสไอสอบ “เณรคำ” แจ้ง 6 ข้อหา-เผยอยากให้บ้านเมืองสงบสุข ยอมสึก สละผ้าเหลือง

เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 19 ก.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ต.ท. ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผู้บัญชาการสำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รองผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง และพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ควบคุมตัวนายวิรพล สุขผล อดีตพระภิกษุชื่อพระวิรพล ฉัตติโก หรือเณรคำ อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ กลับมาดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์, กระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน หลังศาลของรัฐเเคลิฟอร์เนียมีคำสั่งให้ส่งตัวนายวิรพลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย เพื่อมาทำการสอบปากคำ และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ทั้งนี้ นายวิรพลยังคงแต่งกายเป็นสงฆ์อยู่ และมีใบหน้าเรียบเฉย ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะพาตัวไปยังห้องสอบสวนซึ่งเป็นห้องประชุมที่ชั้น 1 ของอาคารดีเอสไอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศบริเวณอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก และยังได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ทุ่งสองห้อง มาให้การสนับสนุนกำลังอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่พบกลุ่มลูกศิษย์ของนายวิรพลมารอต้อนรับหรือคอยให้กำลังใจแต่อย่างใด

ทั้งนี้เมื่อขบวนรถเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ประกอบด้วยรถยนต์โตโยต้า แคมรี่นำขบวน 1 คันและตามหลังด้วยรถฟอร์จูนเนอร์ 2 คันตามหลังมา มาจอดที่บันไดทางขึ้นอาคารดีเอสไอ จากนั้น นายวิรพล  ลงจากรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน ฆง7035 กรุงเทพฯ สวมชุดจีวรพระ โดยมี พ.ต.ต.จตุพล บงกชมาศ ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษ ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการพิเศษ ดีเอสไอกว่า 10 นายเดินประกบ ขนาบข้างก่อนเดินเข้าประตูกระจกอาคารไป ท่ามกลางสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศกว่า 100 คน ที่มายืนออรอถ่ายภาพ ทำข่าวนายวิรพล อยู่นอกรั้วทางขึ้นบันไดทั้ง 2 ฝั่ง

ต่อมา พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รอง ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีเอสไอ และ นายณัฐกิตติ ไชยวรรณรัตน์ นักวิชาการศาสนา ชำนาญการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมาแถลงข่าวที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร

พ.ต.อ.ไพสิฐ เปิดเผยว่า หลังรับตัวนายวิรพลมาที่สำนักงานดีเอสไอ จะทำตามขั้นตอนทางกฎหมาย เช่น ตรวจร่างกาย ทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ สอบปากคำ และแจ้งข้อหาที่ดำเนินคดี  6 ข้อหา ซึ่งผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพก็เป็นสิทธิทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่มีการจัดทนายอาสา และทนายความส่วนตัวของนายวิรพล และเจ้าหน้าที่ พศ.มาร่วมในการสอบปากคำด้วย ส่วนญาติพี่น้องของนายวิรพล เจ้าหน้าที่ได้ประสานไปแล้ว แต่ญาติบอกว่าวันนี้ยังไม่สะดวกมาเยี่ยม ได้สอบถามนายวิรพลซึ่งก็ยอมสละจีวรและสมณเพศด้วยตัวเองภายในคืนนี้ ส่วนการสอบสวนในคืนนี้ ดีเอสไอได้เตรียมทนายและแพทย์ไว้ โดยในวันที่ 20 ก.ค.นี้ พนักงานสอบสวนก็จะนำตัวนายวิรพลส่งอัยการคดีพิเศษฝากขังทันที

“ส่วนสาเหตุที่นายวิรพลไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เนื่องจากให้เหตุผลว่าอยากเดินทางกลับประเทศไทย และให้อยากให้บ้านเมืองสงบสุข โดยจากการที่เจ้าหน้าที่ พศ.ได้แจ้งว่าหากมีการมีการแต่งกายเป็นพระจะโดนดำเนินคดีอีก ซึ่งนายวิรพลยินยอมที่จะถอดจีวร สละสมณเพศในคืนนี้ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ได้ตรวจเช็คกล้องวงจรปิด ซึ่งพร้อมใช้งานทุกตัว รวมทั้งมีการเตรียมทีมแพทย์ คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว

ด้านนายนายทวีวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของการสอบปากคำ จะทำการสอบให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้ และส่งตัวนายวิรพลให้อัยการพิเศษในเช้าวันที่ 20 ก.ค. เพื่อส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอจะค้านประกันตัวในชั้นศาลด้วย ส่วนการติดตามทรัพย์สิน ทราบว่าเงินที่ประชาชนบริจาคให้นายวิรพลเปลี่ยนแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นจะติดตามกลับมา ส่วนทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ได้ทำบัญชีและอายัดไว้หมดแล้ว

ขณะที่ นายณัฐกิตติ กล่าวว่า จะมีการแจ้งให้นายวิรพลทราบเรื่องการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.สงฆ์ หากท่านท่านยอมสละผ้าเหลือง ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำตัว นายวิรพล ไปที่ห้องประชุมชม 3 ชั้น 1 เพื่อทำประวัติ พิมพ์มือ ตรวจร่างกาย และแจ้งข้อกล่าวหา ว่าจะรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ตามขั้นตอนกฎหมาย เนื่องจากได้รวบรวมสำนวนคดีต่างๆและได้ส่งให้พนักงานอัยเสร็จสิ้นกระบวนการไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่ พศ.ร่วมสอบปากคำ และแจ้งให้นายวิรพลทราบว่า  เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ มีคำสั่งที่ประชุมคณะสงฆ์ผู้พิจารณาอธิกรณ์ได้มีมัติปรับอาบัติให้พระวิรพล(ณ ขณะนั้น) ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ มาตร 26 คือ พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด ให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.2556 แล้ว หากนายวิรพลยังฝ่าฝืนแต่งกายสงฆ์ จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 43 คือ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 จัตวา วรรคสอง มาตรา 26 มาตรา 27 วรรคสาม หรือมาตรา 28 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี

รายงานข่าวแจ้งว่า ดีเอสไอได้จัดชุดพนักงานสอบสวนไว้ 2 ชุด โดยแบ่งเป็นชุดละ 3 คน ซึ่งเป็พนักงานสอบสวนได้แยกสำนวนการสอบสวนออกเป็น 2 สำนวน คือสำนวนคดีพรากผู้เยาว์ กระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และสำนวนคดีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน โดยจะทำการสอบปากคำที่ละสำนวน ซึ่งจะใช้เวลาสอบปากคำตลอดทั้งคืน และนำตัวไปฝากขังในช่วงเช้าทันที ทั้งนี้ ดีเอสไอได้ประสานไปยังญาติพี่น้องขอนายวิรพลว่าจะเดินทางมาที่ดีเอสไอหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นได้รับแจ้งว่าไม่ประสงค์จะเดินทางมา อีกทั้ง ยังได้เตรียมทนายความไว้ให้นายวิรพลเรียบร้อย

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า ยังได้รับรายงานล่าสุดว่านายวิรพลยังห่มจีวรขึ้นเครื่องระหว่างถูกควบคุมตัวกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงได้เตรียมเสื้อผ้าชุดลำลองไว้ให้นายวิรพลเปลี่ยน หลังจากมีการแจ้งคำสั่งของทางสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ที่เป็นเหตุให้ปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์แล้ว แต่ถ้านายวิรพลยังไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอาจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์อีกข้อกล่าวหา

รายงานข่าวระบุว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายวิรพล 6 ข้อกล่าวหาดังนี้

(1) “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จด้วยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) และ (5)

(2) “ฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

(3) “ฟอกเงิน” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 มาตรา 5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

(4) “กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277

(5) “กระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279

(6) “ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

 

ที่มา   มติชนออนไลน์