คดีเสือดำ : ศาลฎีกานัดพิพากษา เปรมชัย กรรณสูต และพวก วันนี้ !

Lillian Suwanrumpha / AFP

มหากาพย์คดีเสือดำ ศาลจังหวัดทองผาภูมิ นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา “เปรมชัย กรรณสูต” พร้อมพวกรวม 4 คน วันนี้ (8 ธ.ค.)

วันที่ 7 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ธ.ค.) ศาลจังหวัดทองผาภูมิ นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา “คดีเสือดำ” จากกรณีนายวิเชียร ชิณวงษ์ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก นำกำลังเข้าจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน

ขณะเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ท้องที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พร้อมยึดของกลางประกอบด้วยซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก เหตุเกิดระหว่างวันที่ 4 – 6 ก.พ. 2561

ต่อมาวันที่ 19 มี.ค. 2562 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษ จำเลยที่ 1 นายเปรมชัย กรรณสูต จำคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา จากข้อหาดังนี้

    1. ข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษา จำคุก 6 เดือน
    2. ข้อหาล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
    3. ข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 8 เดือน
    4. ข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
    5. ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย (กรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 2 เดือน

ขณะที่จำเลยที่ 2 นายยงค์ โดดเครือ ถูกลงโทษจำคุก 13 เดือน จำเลยที่ 3 นางนที เรียมแสน จำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอรอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 4 นายธานี ทุมมาศ รวมโทษจำคุก 2 ปี 17 เดือน และให้จำเลยที่ 1 (นายเปรมชัย กรรณสูต) กับจำเลยที่ 4 (นายธานี ทุมมาศ) ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ก.พ. 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

นายเปรมชัย และนายยง โดดเครือ ยื่นหลักทรัพย์คนละ 4 แสนบาท นายธานี ทุมมาศ ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนบาท เพื่อประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

จากนั้นวันที่ 12 ธ.ค. 2562 ศาลจังหวัดทองผาภูมิอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยพิพากษายืนความผิดของจำเลยตามศาลชั้นต้น พร้อมเพิ่มโทษนายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือน นายยงค์ โดดเครือ เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 17 เดือน นางนที เรียมแสน เพิ่มโทษเป็นจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับเงิน 40,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

ส่วนนายธานี ทุมมาศ เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 21 เดือน พร้อมทั้งให้จำเลยทั้ง 4 คนร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวนเงินรวม 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งให้เพิ่มหลักทรัพย์ประกันกันตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อีกคนละ 2 แสนบาท

ย้อนรอยคดีเสือดำช่วงครึ่งปี 2563

วันที่ 20 ก.ย. 2563 “อรยุพา สังขะมาน” หัวหน้าฝ่ายวิชาการ มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้เผยแพร่บทความความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้และคดีที่เกี่ยวข้องครึ่งปีแรก 2563 ว่า หลังจากเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2563 นายเปรมชัย พร้อมพวก ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ เพื่อขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เป็นครั้งที่ 3 และศาลพิจารณาให้ขยายเวลาได้ถึงวันที่ 10 เม.ย. 2563 ต่อมาในวันที่ 12 มี.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของอัยการโจทก์

รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดได้รายงานถึงความคืบหน้าการพิจารณาการยื่นฎีกาคดีร่วมกันล่าเสือดำที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เพิ่มโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา นายเปรมชัย กรรณสูต และพวกรวม 4 คน ว่าพนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ โจทก์ ได้เดินทางไปยืนยันต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ ว่าไม่ขอฎีกา เนื่องจากได้มีการตรวจสอบ พิจารณาประเด็นและเหตุผล รวมทั้งบทลงโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาแล้ว เห็นว่าครบถ้วนตามที่อัยการโจทก์ได้ฟ้องไป จึงมีความเห็นไม่ยื่นฎีกาอีก

ตามขั้นตอนก็ได้ส่งความเห็นนี้ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา145/1 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดย ผบช.ภ.7 ได้ส่งความเห็นกลับมาแล้วว่า เห็นตรงตามอัยการ ดังนั้นความเห็นจึงเป็นที่ยุติแล้วว่าไม่ฎีกาเกี่ยวกับผลคดีดังกล่าวอีกต่อไป เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นฎีกาของจำเลย อัยการโจทก์จะพิจารณาแก้ประเด็นฎีกาของจำเลยต่อไป

วันที่ 1 เม.ย. 2563 นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยผู้พิพากษาได้รับรองอนุญาตให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ส่วนแม่ครัว จำเลยที่ 3 คดียุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เนื่องจากอัยการโจทก์และจำเลยที่ 3 ไม่ติดใจยื่นฎีกา

วันที่ 16 เม.ย. 2563 มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้สอบถามความคืบหน้าการยื่นฎีกาของจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ยังศาลจังหวัดทองผาภูมิ ได้ความว่า นายเปรมชัย และพวก ได้ทำการยื่นฎีกาเพื่อต่อสู้คดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่หากผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด (ฎีกา) และอนุญาตให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แล้วสามารถให้รับฎีกาไว้พิจารณาต่อไปได้

ความคืบหน้าชั้นศาลอุทธรณ์คดีติดสินบนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญาเปรมชัย กรรณสูต คดีเสนอสินบนเจ้าหน้าที่ ยื่น 5 แสนบาทประกันตัวสู้คดีชั้นฎีกา

วันที่ 29 ก.ค. 2563 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิจารณาแล้วเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 (นายเปรมชัย) ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้จำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ไม่รอลงอาญา

ส่วนนายยงค์ (คนขับรถ) จำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งหลังจากมีคำพิพากษานายเปรมชัย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 500,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา

คดีติดสินบนดังกล่าวศาลชั้นต้นได้เคยมีคำพิพากษา นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 ลงโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา และให้นับโทษต่อจากคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกด้วย ซึ่งในคดีล่าสัตว์ป่า ศาลพิพากษาให้นายเปรมชัย กรรณสูต จำคุกรวม 16 เดือน ไม่รอลงอาญา

แต่ศาลไม่สามารถนับโทษต่อในคดีหมายเลขดำ อ.1143/2561 (คดีครอบครองงาช้าง) และคดีหมายเลขดำ อ.1144/2561 (คดีครอบครองอาวุธปืนไรเฟิล) ได้ เนื่องจากทั้ง 2 คดี (ในขณะนั้น) ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น

ศาลได้อนุญาตให้นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 ประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน 200,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และมารายงานตัวต่อศาลตามกำหนดนัดทุกครั้งจำเลยที่ 2 นายยงค์ โดดเครือ ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคลิปเสียงตามที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นการสนทนาตามปกติ และขณะนั้นนายเปรมชัย ไม่ได้อยู่ในบริเวณดังกล่าว

คดีครอบครองปืนที่ค้นพบในบ้านพัก

วันที่ 11 ส.ค. 2563 นายเปรมชัย กรรณสูต เดินทางมายังศาลอาญา รัชดาฯ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีครอบครองอาวุธปืนไรเฟิลและเครื่องกระสุน โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์ตามคำฟ้องแล้วเห็นว่า ประเด็นที่จำเลยกล่าวอ้างว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นปืนของบิดา เมื่อบิดาเสียชีวิต ได้มีการซ่อมแซมบ้านของบิดาและย้ายข้าวของมา

โดยไม่ทราบว่ามีการย้ายปืนของกลางมาไว้ที่บ้านด้วยนั้น ศาลเห็นว่าคำให้การของจำเลยขัดแย้งกับคำให้การก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัย เช่นเดียวกับประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่เคยมีการพูดถึงในศาลชั้นต้น

ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยครอบครองอาวุธปืนไม่มีทะเบียนถึง 5 กระบอก บางกระบอกเป็นอาวุธร้ายแรงสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ หากนำไปก่ออาชญากรรม หรือนำไปใช้ล่าสัตว์ป่า ก็ยากที่จะหาตัวผู้กระทำความผิด ถือเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง และที่จำเลยอ้างถึงสาเหตุด้านสุขภาพนั้น

ศาลเห็นว่า ภายในเรือนจำมีโรงพยาบาลและแพทย์คอยดูแล และสามารถส่งต่อให้กับโรงพยาบาลภายนอกได้หากมีเหตุจำเป็น ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้ คือคดีครอบครองปืนที่บ้านพักของนายเปรมชัย กรรณสูต ในศาลชั้นต้น มีรายละเอียดดังนี้

อัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2561 ว่าเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2561 จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายด้วยการมีอาวุธปืนยาวไรเฟิล 3 กระบอก และปืนแก๊ป 1 กระบอกไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตที่บ้านพัก

จำเลยได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณา 200,000 บาท โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ซึ่งคดีนี้ในชั้นสอบคำให้การจำเลย เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 61 จำเลยเคยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่เมื่อ 9 ก.ค. 62 วันสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยได้แถลงคำให้การ “รับสารภาพ” พร้อมยื่นคำร้องประกอบต่อศาลเพื่อพิจารณา ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจประวัติครอบครัว การศึกษา การทำงาน และอื่น ๆ ของจำเลย และรายงานให้ศาลทราบภายใน 30 วันเพื่อประกอบการพิจารณา

วันที่ 20 ส.ค. 62 นายเปรมชัยได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญา โดยระบุว่า จำเลยจะขออุปสมบท (บวช) ที่วัดบวรนิเวศหรือวัดอื่นเป็นเวลา 15 วันเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล จำเลยจะบริจาคเงินส่วนตัว 3 ล้านบาท เพื่อเป็นการสาธารณประโยชน์และจำเลยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธปืนอีกตลอดชีวิต

ศาลพิเคราะห์รายงานสืบเสาะประวัติ ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำคุก 1 ปีตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน

แต่เนื่องจากจำเลย ยังมีโทษคดีอาญาจำคุกอีก 2 คดี ในศาลจังหวัดทองผาภูมิ และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 พฤติการณ์จึงไม่รอการลงโทษ