ศบค.ถก 7 ประเด็นหลัก เตรียมพร้อมเข้าสู่โรคประจำถิ่น 1 กรกฎาคม สั่งเฝ้าระวัง 17 จังหวัด รวม กทม. เสี่ยงเกิดการติดเชื้อโควิดกลุ่มก้อนขนาดเล็ก small wave เผยข้อมูลชี้ชัดแนวโน้มคนป่วยใหม่เพิ่มขึ้น พบท่องเที่ยวฟื้นตัวโกยรายได้แล้วเกือบ 3.5 แสนล้าน เป็นรายได้จากคนไทยเที่ยวไทยมากกว่าชาวต่างชาติ สั่ง สมช.ศึกษากฎหมายปรับแก้เวลาดื่มสุรา-เปิดปิดสถานบันเทิงใหม่
วันที่ 17 มิถุนายน 2565 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงรายละเอียด หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศบค. ประชุม ศบค.ชุดใหญ่และมีมติสำคัญ ๆ ไปในหลายเรื่อง อาทิ เรื่องการปลดพื้นที่ควบคุมโควิดเป็นสีเขียวทั่วประเทศ เรื่องของการยกเลิกระบบลงทะเบียนการเข้าราชอาณาจักร Thailand Pass รวมถึงการยกเลิกเงินประกัน การผ่อนคลายเรื่องการสวม/ไม่สวมหน้ากากอนามัยในบางพื้นที่ รวมถึงการขยายเวลาการเปิดสถานบันเทิง และขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (อ่านรายละเอียดท้ายข่าว)
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ถก 7 ประเด็นหลัก เตรียมพร้อม post pandemic
นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวแถลงเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมวันนี้มีการพูดคุยใน 7 ประเด็นหลัก เรื่องแรก สถานการณ์ปัจจุบัน ล่าสุดตัวเลขการติดเชื้อของผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนในการลดการติดเชื้อ และเป็นการเข้าสู่บรรยากาศที่เรียกว่าเป็น post pandemic ที่จะเข้าสู่การให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น และเข้าสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีการผ่อนคลายตามมา
สำหรับการติดเชื้อวันนี้ลดเหลือไม่ถึง 2 พันราย และมีการหายป่วยมากกว่าผู้ป่วยใหม่ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามยังมีผู้เสียชีวิตอยู่ 19 คน ส่วนอัตราการครองเตียงระดับ 2-3 ซึ่งเป็นระดับที่มีความรุนแรงสูง อยู่ที่ร้อยละ 9.30 ซึ่งเตียงยังว่างอยู่และถ้าศักยภาพของระบบสาธารณสุขยังไปได้ดีและรองรับได้ จะทำให้เราสามารถเปิดกิจการ กิจกรรม ได้เพิ่มขึ้น
“เส้นกราฟของผู้ป่วยรายวัน ปอดอักเสบ และผู้เสียชีวิต เป็นเส้นที่ออกไปในแนวระนาบและลดลงบ้างโดยเฉพาะผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งจะไปสอดคล้องกับภาพของการคาดการณ์ที่เราเคย ตอนนี้ในสถานการณ์จริงพบว่า ต่ำกว่าเส้นที่เราเคยคาดการณ์ไว้แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ท่อช่วยหายใจ เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิตที่ลดลงต่ำกว่าเส้นสีเขียวหรือเส้นที่เราคาดการณ์ไว้ ตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์เป็นต้นมา” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว
สำหรับการคาดการณ์ในระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค.-30 มิ.ย.) หรือช่วง Declining ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าปลายเดือนพ.ค.ถึงมิ.ย.นี้น่าจะเป็นตัวชี้ทิศทางว่าเราจะไปอย่างไร เพราะฉนั้นวันที่ 1 กรกฎาคม2565 มีโอกาสที่จะเป็น Post pandemic หรือระยะที่ 4 ที่จะเป็นโรคติดต่อทั่วไป ซึ่งก็ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างเต็มที่
สั่งเฝ้าระวัง 17 จังหวัดรวมกทม. เกิด small wave
นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังเสนอให้ไปดูใน 77 จังหวัด บวก กทม.ว่า ยังเห็นภาพของ 50 จังหวัดที่สอดคล้องกัน คือมีทิศทางที่ลดลง แต่มี 17 จังหวัดที่ลดลงแล้วแต่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น หรือเรียกว่าเป็น Post declining with small wave หรือเรียกว่ายังมียอดภูเขาเล็ก ๆ ขึ้นมาอยู่ อันนี้เราจะต้องมีมาตรการที่จะต้องเฝ้าระวังหรือป้องกันไม่ให้มีการเพิ่มขึ้น และจะเป็นภาระต่อเรื่องของการรักษา
“ใน 17 จังหวัดนี้มีกรุงเทพมหานคร มีภูเก็ต อุบลราชธานี ชัยนาท ตราด ยโสธร อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ สตูล ชลบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี เพชรบุรี สมุทรสาคร กระบี่ พิจิตร” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวและว่า
“ตรงนี้เราต้องมองการคาดการณ์ไปถึงข้างหน้า ซึ่งเราเคยผ่านมาแล้วในระลอกเดือนเมษายน 2564 และระลอกเดือนมกราคม 2565 และตอนนี้กำลังลง ซึ่งถ้าจะให้ดีสำหรับการคาดการณ์หลังจากนี้ไปเราจะไปบอกว่าหมดการระบาดก็ยังไม่เชิง เพราะฉะนั้นตรงนี้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีระลอกเล็ก ๆ เกิดขึ้นมาได้บ้าง”
“เพราะฉะนั้น การเป็น small wave หรือช่วงเวลาที่เราต้องเฝ้าระวัง ซึ่งขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรค ซึ่งหมายถึงการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย หรือการที่ประชาชนต้องช่วยกันสวมหน้ากาก แต่ก็มีเสียงร้องว่าอยากจะลดการสวมหน้ากากลงบ้าง ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาได้ด้วย”
รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มเกือบ 3.5 แสนล้าน
นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 ที่มีการรายงานในศบค.ชุดใหญ่วันนี้ คือผลการดำเนินงานเปิดรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร จากการรายงานจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเสนอชุดข้อมูลว่า ตั้งแต่วันที่ 1-15 มิ.ย. นักท่องเที่ยวเข้ามา 348,699 คน เฉลี่ยวันละ 20,000-25,000 คน
โดยประเทศที่นักท่องเที่ยวเข้ามามากสุด คือ 1.มาเลเซีย 6.1 หมื่นคน 2.อินเดีย 5.1 หมื่นคน 3.สิงคโปร์ 3.1 หมื่นคน 4.เวียดนาม 1.8 หมื่นคน และ 5.สหรัฐอเมริกา 1.5 หมื่นคน ส่วนตั้งแต่ยกเลิก Test&Go จะเห็นว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น หากนับตั้งแต่ต้นปีที่ประเทศเข้ามามากสุด คือ อินเดีย 1.69 แสนคน
ส่วนกำลังซื้อในประเทศ นักท่องเที่ยวจากไทยเที่ยวไทยมี 53.52 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้น 127% จังหวัดเป้าหมายที่ไปท่องเที่ยวมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ทำให้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 3.48 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 149% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“ต้องขอบคุณคนไทยเที่ยวไทย สร้างเม็ดเงิน 2.48 แสนล้านบาท มากกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากมาตรการการผ่อนคลายที่จะเกิดขึ้น เช่น Thailand Pass อาจทำให้ขึ้นมาเป็นแสนล้านบาทโดยเร็ว” โฆษกศบค.กล่าว
เปิด 8 มาตรการผ่อนคลาย
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องที่ 3 เรื่องการปรับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร จากเดิมที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 46 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 15 จังหวัด และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 20 จังหวัด ปรับมาเป็นพื้นที่สีเขียวทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถมีกิจการกิจกรรมในการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แต่ต้องมาพร้อมมาตรการป้องกันควบคุมโรค ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอเพื่อผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ 8 มาตรการ คือ
1.พื้นที่สถานการณ์ปรับเป็นพื้นที่เฝ้าระวังทั่วประเทศ ยกเลิกการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านท่องเที่ยว
2.มาตรการใส่หน้ากากอนามัย ยกเว้นกรณีอยู่ในที่โล่ง ไม่แออัด ทำกิจกรรมที่ไม่อาจสวมหน้ากากได้ ประกอบอาชีพต้องใช้การแสดงออกของใบหน้า การอยู่คนเดียวที่มีที่ปิดหรือมีฉากกั้น
3.การบริโภคสุราแอลกอฮอล์ในพื้นที่เฝ้าระวัง เปิดบริการตามปกติ โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค กฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
4.สถานประกอบการสถานบันเทิง เปิดให้บริการและให้ผู้รับบริการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในพื้นที่เฝ้าระวัง โดยเปิดบริการตามกฎหมายกำหนด
5.การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ผ่อนคลายดำเนินการตามปกติ
6.การคัดกรองอุณหภูมิ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดกรองแล้ว แต่อาจให้คัดกรองอุณหภูมิในสถานที่เสี่ยงหรือพื้นที่ระบาดก็พอ
7.การเว้นระยะห่าง เว้นตามความเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดแพร่โรค
8.มาตรการการรวมกลุ่ม ให้มีการคัดกรอง ATK เฉพาะกรณีสงสัยว่ามีอาการทางเดินหายใจ หรือรวมกลุ่มมากว่า 2 พันคน แจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.รับทราบเพื่อเป็นการเฝ้าระวังการระบาด
สั่ง สมช.ปรับแก้กฎหมายเวลาดื่มสุรา-เปิด/ปิดสถานบันเทิง
ประเด็นที่ 3 และ 4 เรื่องดื่มสุราและสถานบันเทิง ที่ประชุมใช้เวลาในการพิจารณากันมากมากพอสมควร เพราะตามข่าวขอเปิดถึงตี 2 เมื่อไปดูกฎหมายแล้ว มีการเชื่อมโยงกฎหมายถึง 3 ฉบับ คือ กฎหมายตามพ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 ซึ่งมีสถานบริการหลายประเภท กฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดสถานบริการ พ.ศ.2547 มีการกำหนดโซนนิ่ง เวลาการเปิดปิดก็เหลื่อมกันสูงสุดคือตี 1 แต่สถานที่เต้นรำกำหนดไว้ตี 2 ซึ่งแทบจะไม่มีแล้วสำหรับสถานที่เต้นรำ และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2558 เรื่องเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีเวลาเปิดปิดไม่ต่อเนื่อง เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น.
“ที่ประชุมจึงมอบให้ฝ่ายกฎหมาย โดยให้ทางเลขา สมช.ไปหาข้อสรุปมา ขั้นตอนคือไปดูกฎหมายเก่าและมาผ่อนคลายอย่างไร ซึ่งต้องไปผ่านกระบวนการจัดการเรื่องของกฎหมายและเสนอต่อ ครม. เพราะฉนั้นการประกาศพื้นที่และโยงไปถึงมาตรการ 8 ข้อ ท่านนายกฯ ขอให้ทำให้เร็วที่สุด ซึ่งต้องให้เวลากับคณะทำงานชุดนี้ จึงไม่ได้บอกว่าจะเป็นวันไหน ถ้าให้เร็วคืออยากให้เกิดวันที่ 1 กรกฎาคม แต่ต้องขอเวลาฝ่ายต่างๆ ทำงานให้เต็มที่ก่อน วันเวลาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง เมื่อกฎหมายถูกรวบรวมและแก้ไขอย่างถูกต้อง” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว
ยกเลิก Thailand Pass-เงินประกัน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องที่ 4 การปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ยกเว้นการลงทะเบียนระบบ Thailand Pass ทั้งต่างชาติและคนไทย ต้องแสดงผลการฉีดวัคซีน มีการสุ่มตรวจผู้เดินทาง หากไม่มีเอกสารใด ๆ รับรอง จะดำเนินการตรวจ Professional ATK ที่สนามบิน จนกว่าจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ จะยังคงระบบและเปลี่ยนหน้าที่ของ Thailand Pass สำหรับโควิด-19 เพื่อให้ผู้เดินทางใช้แจ้งรายงานกรณีมีอาการสงสัยโรคติดต่ออันตรายและโรคติดต่อที่ต้องรายงานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขต่อไป ซึ่งจะครอบคลุมการเดินทางผ่านแดนทางบกด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 22 จังหวัด 39 จุดที่เป็นด่านผ่านแดนถาวร
ส่วนเรื่องเงินประกันยกเลิกไม่ต้องกำหนดวงเงิน แต่ส่งเสริมให้มีการซื้อประกัน เพื่อไม่ให้เป็นภาระเมื่อเกิดการเจ็บป่วยในไทย ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบจะประกาศได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565
สวม/ไม่สวม หน้ากากอนามัย ขอให้เป็นความสมัครใจ
5. เรื่องการสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ยังขอให้เป็นความสมัครใจ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 โดยกรมอนามัยจะมีการลงในรายละเอียดที่จะสื่อสารกับประชาชนว่าจะใส่/ไม่ใส่ได้ในพื้นที่ต่าง ๆ หรือกิจกรรมทั้งหลาย จะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
6.เรื่องแนวปฎิบัติการผ่อนคลายสำหรับการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ฉบับปรับปรุงที่จะมีการประกาศใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 นี้ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ กสทช.
และเรื่องที่ 7 การให้บริการเรื่องวัคซีนในเดือนกรฎาคม ซึ่งวัคซีนมีเพียงพอ ซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชาน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ให้มารับวัคซีนกันให้มากที่สุดเพื่อลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต