ศึกสองยักษ์คริปโตฯ ป่วนตลาด หวั่นซ้ำรอยวิกฤต LUNA

FTX

ดราม่า Binance เท FTX ยักษ์คริปโตมะกันหลังสอบทานบัญชีไม่ถึงวัน ทั้งเผชิญวิกฤตสภาพคล่อง ลูกค้าถอนเงินไม่ได้ หวั่นซ้ำวิกฤต LUNA ฉุดบิตคอยน์หลุด 15,000 เหรียญสหรัฐ/BTC

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานสถานการณ์คริปโตเคอร์เรนซีว่า Binance กระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งขอเลิกล้มการเข้า “อุ้ม” กิจการของ FTX กระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลยักษ์จากอเมริกา หลังสอบทานบัญชีไม่ถึงหนึ่งวัน (Due Diligence)

ก่อนหน้านี้ เกิดดราม่าหลังจากนายฉางเผิง จ้าว (CZ) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Binance ออกมาพูดถึงนายแซม แบงก์แมน-ไฟร์ด (Sam Bankman-Fried) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งกระดานเทรด FTX สัญชาติอเมริกา ว่าได้เข้าล็อบบี้บุคคลระดับสูง นักการเมืองระดับนโยบายของสหรัฐ เพื่อกีดกันการทำธุรกิจของ Binance.us ทำให้นาย CZ พิจารณาถอนการลงทุน และได้รับโทเคนดิจิทัล FTT ซึ่งเป็นโทเคนประจำแพลตฟอร์ม FTX จำนวนมหาศาล

FTT ถูกเรียกว่าเป็น “กระดูกสันหลัง” ของ FTT มีการใช้โทเคนดังกล่าวเพื่อ “กู้” เงินเป็น Stable Coin ที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ ยิ่ง FTT มีมูลค่าสูงยิ่งกู้ได้มาก

ราคาโทเคน FTT เริ่มลดระดับในวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาจาก 23 เหรียญสหรัฐ/FTT จากกระดานเทรด Binance โดยชุมชนคริปโตเคอร์เรนซีคาดว่าเป็นการขาย “ทุ่มตลาด” ของ นาย CZ แม้นาย CZ จะออกมาแจ้งว่าการขายโทเคนดังกล่าวจะไม่กระทบตลาด เพราะได้วางแผนทยอยขาย โดยคาดว่าจะจบสิ้นการเทขายในระยะเวลา 2-3 เดือน อย่างไรก็ตาม ความตื่นตระหนกได้เกิดขึ้น และในวันที่ 8 พฤศจิกายน ราคา FTT ลดลง 90% เหลือ 2.6 เหรียญสหรัฐ/FTT

มีรายงานในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ว่าผู้ใช้บริการกระดานเทรด FTX เริ่มประสบปัญหาไม่สามารถถอนสินทรัพย์ของตนจาก FTX ได้

ต่อมานายฉางเผิง จ้าว (CZ) ได้ประกาศว่าบ่ายวันทึ่ 8 พฤศจิกายน ตามเวลาประเทศไทย FTX กระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลยักษ์จากสหรัฐอเมริกาได้เผชิญกับวิกฤตสภาพคล่อง จึงได้ขอความช่วยเหลือจาก Binance ให้เข้าช่วยเหลือ ซึ่งนาย CZ ได้ตัดสินใจพิจารณาเข้าซื้อทั้งกิจการ โดยเริ่มตรวจสอบบัญชีในทันที (Due Diligence)

ในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาเหรียญ BNB เหรียญประจำเครือข่าย Binance ราคาจาก 322 เหรียญสหรัฐได้พุ่งขึ้นไปเฉียด 400 เหรียญสหรัฐ

และในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นาย CZ ก็ได้เปิดเผยว่า Binance จะเลิกล้มการเข้าซื้อกิจการ FTX หลังสอบทานบัญชีไปไม่ทันข้ามวัน ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเริ่มดิ่งลง

นาย CZ ได้แสดงความเห็นหลังสอบทานบัญชีของ FTX ว่า “ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดควรพิสูจน์เงินสำรองแบบ Merkle-tree Proof-of-Reserve การแห่ถอนเงิน (Bank run) เกิดจากการใช้เงินสำรองแค่บางส่วน (fractional reserves) ซึ่งศูนย์ซื้อขายคริปโตไม่ควรเป็นเช่นนั้น และ Binance จะเริ่มทำ Proof-of-Reserve  ในไม่ช้า เพื่อความโปร่งใสเต็มรูปแบบ”

หลังจากทวีตดังกล่าว ก็มีกระดานเทรดทยอยโชว์ทุนสำรองเพื่อแสดงความโปร่งใสเต็มที่ ขณะที่นายแซม แบงก์แมน-ไฟร์ด ได้ทวีตว่า สินทรัพย์ของทุนคนปลอดภัยไม่ได้มีปัญหา ก่อนจะลบทวีตดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การล้มเลิกดีล Binance-FTX หมายถึงปัญหาสภาพคล่องของ FTX จะไม่มีการแก้ไข ทำให้ลูกค้าถอนสินทรัพย์ไม่ได้ และจะนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด ซึ่งจะคล้ายคลึงกับกรณีวิกฤต LUNA ที่ลากผู้เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศล้มละลายต่อกันเป็นทอด ๆ

สำนักข่าวคริปโตเคอร์เรนซี Coindesk วิเคราะห์ว่า ดีลที่ล้มเหลวนี้คือหายนะในอุตสาหกรรมคริปโต โดยยกตัวอย่างว่าหลังจากที่ระบบนิเวศของ LUNA Terra ล่มสลาย ตามมาด้วยการล้มละลายของเซลเซียสและกองทุน Three Arrows Capital อุตสาหกรรมคริปโตก็ตกอยู่ในความโกลาหลมากขึ้น

“ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ FTX ถูกบังคับให้แสวงหาความช่วยเหลือกับคู่แข่งอย่าง Binance ท่ามกลางปัญหาสภาพคล่อง ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในวันอังคาร แต่สิ่งต่าง ๆ กลับกลายเป็นมืดมนยิ่งขึ้น หลังจาก Binance จะไม่เข้าซื้อกิจการโดยในช่วงบ่ายของวันพุธ Binance เองได้ยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวได้ปิดลง ส่งผลให้ตลาดคริปโตตกต่ำลงไปอีก โดย bitcoin (BTC) ร่วงต่ำกว่า 16,000เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบสองปี”


ระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายนที่เกิดความปั่นป่วนภายในตลาด ราคาบิตคอยน์หล่นวูบจาก 20,000 เหรียญสหรัฐ ลงไปแตะ 15,000 เหรียญสหรัฐ ก่อนจะมาทรงตัวที่ 16,700 ขณะที่เขียนรายงานนี้