ดีอีเอส โชว์ตัวเลข คดีฉ้อโกงออนไลน์ลดลง

ปลัด “ดีอีเอส” เตรียมผลักดันนโยบาย Go Cloud First เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน พร้อมโชว์ผลงานหลังบังคับใช้ กม.ความมั่นคงไซเบอร์ เรื่องร้อง-คดี เกี่ยวกับดิจิทัลลดลงจาก 800 รายการ เหลือ 600 รายการต่อวัน

วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า หลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ (พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562) ที่มีสาระสำคัญมากส่วนหนึ่งคือการระบุให้ ธนาคารมีหน้าที่ระงับธุรกรรมที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวกับการหลอกลวงทางดิจิทัล (แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปลอมสลิป หรือขโมยรหัสดูดเงินจากบัญชี) ทันทีที่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย โดยธนาคารที่รับแจ้งจะต้องระงับธุรกรรมนั้นในไว้ 72 ชม. จากนั้นผู้เสียหายค่อยไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อไป

“ก่อนหน้านี้ Pain Point ของผู้เสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินคือต้องไปแจ้งความ แล้วจึงไปแจ้งธนาคารให้ตรวบสอบการโอนเงิน ซึ่งกว่าจะตรวจสอบได้ เงินก็ถูกโอนผ่านไปหลายบัญชีแล้ว การร่วมมือกับสมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย แบงก์ชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำให้ลดขั้นตอน และเกิดความรวดเร็วในการดำเนินการปกป้องผู้เสียหาย”

“จากข้อมูลของตำรวจพบว่าก่อนการบังคับใช้กฎหมายนี้มีการแจ้งความร้องเรียนคดีการถูกโกงทางดิจิทัล 800 รายการต่อวัน ปัจจุบันเหลือเพียง 600 รายการต่อวันเท่านั้น และส่วนหนึ่งเป็นการฉ้อโกงโดยการหลอกขายสินค้าไม่ตรงปก ไม่ใช่การหลอกให้โอนเงินทางดิจิทัลโดยตรง”

นอกจากนี้ ยังสามารถอายัดเงินที่ถูกหลอกลวงได้เพิ่มขึ้น ลดความเสียหายแก่พี่น้องประชาชนได้เป็นจำนวนมาก แม้ว่าการหลอกลวงใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลอมเสียงด้วยเทคโนโลยี AI ให้ผู้เสียหายกดลิงก์ผ่าน URL ปลอม และมีการหลอกให้ลงทุน เป็นต้น

ปลัดกระทรวงดีอีเอสกล่าวด้วยว่า การฉ้อโกงมาในรูปแบบใหม่ ๆ เสมอ ดังนั้นการระงับธุรกรรมก่อนที่เงินของประชาชนจะถูกโยกย้ายไปจึงต้องรวดเร็วขึ้น จากยอดคดี 800 รายการต่อวัน เหลือเพียง 600 รายการต่อวัน ที่ปรากฎหลังการบังคับใช้กฎหมาย นั้นธนาคารต่างๆ ยังคงใช้ระบบ Manual ในการกดระงับธุรกรรมอยู่

ADVERTISMENT

“หากมิจฉาชีพมีการวางแผนมาดี เพียง 1 นาที ก็จะมีการโอนไปหลายธนาคารจนตามเงินไม่ทัน จึงต้องพัฒนาระบบที่สามารถตรวจจับธุรกรรมผิดปกติและระงับได้ทันที มีความเป็นออโตเมชั่นมากขึ้นก็ลดเวลาการดำเนินคดีให้สั้นลง”

ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย จึงต่อยอดไปสู่การพัฒนาระบบ Central Fraud Registry ที่สมาคมธนาคารและธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการในการพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับการทำธุรกรรมผ่านธนาคารที่มีความปลอดภัยสูงและป้องกันการหลอกลวงผ่านออนไลน์ ซึ่งจะสามารถตรวจจับธุรกรรมผิดปกติได้ทั้งระบบโดยไม่ต้องแจ้งต่อกันไปเป็นทอด ๆ

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ดีอีเอส ได้ดำเนินการในภารกิจหลายด้านรวมถึงการส่งเสริมการสนับสนุนประชาชนได้เข้าสู่โครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลภาครัฐ หรือ Digital Identification (Digital ID) ภายใต้โครงการ ThaiD ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

นอกจากนี้ ดีอีเอส เตรียมนำเสนอการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และคุรุภัณฑ์ไอทีของหน่วยงานภาครัฐให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น รองรับแนวคิด Go Cloud First ทั้งนี้ดีอีเอส จะมีการจัดตั้งอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อผลักดันการแก้ไขระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และครุภัณฑ์เทคโนโลยีของภาครัฐ คาดว่าภายในระยะเวลา 8 เดือนจะมีความคืบหน้าในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐในเรื่องดังกล่าว

“เราพยายามผลักดันรัฐบาลดิจิทัล หน่วยงานรัฐบาลกว่า 8,000 แห่ง เมื่อเปลี่ยนมาใช้ไฟล์ดิจิทัลทั้งเอกสารและข้อมูลล้วนต้องใช้พื้นที่เก็บและพลังการประมวลผล แต่หน่วยงานราชการมีศักยภาพไม่เท่ากัน ไม่สามารถที่จะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ได้ทั้งหมด หรือแม้แต่จ้างคนมาดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่อยากจะใช้บริการคลาวด์สาธารณะที่เก็บข้อมูลไว้ต่างประเทศ”

“เราจึงต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ที่ไทยเป็นโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจแบบ NT ซึ่งเป็นบริการคลาวด์แบบหนึ่ง หรือเอกชนที่มีคลาวด์อีกหลายแบบให้รองรับการบริการที่หลากหลาย เมื่อมีผู้เล่นจำนวนมากในไทย ราคาก็ถูกลง และยิ่งมีการแก้ไขการจัดซื้อจัดจ้างจะทำให้หน่วยงานราชการใช้งานเช่าบริการด้านไอทีได้กว้างขวางและมีประสิทธิภาพขึ้น”