รายได้โฆษณาพลิกกลับมาโต Meta-Microsoft-Google โหมอัพสปีด AI

Background: The logo of French headquarters of American multinational technology company Microsoft is pictured in Issy-Les-Moulineaux, a Paris suburb, on March 6, 2018. Microsoft quarterly profits soared, the company said on July 25, 2023, as its big push into artificial intelligence seemed to be bearing fruit, but growth in its key cloud computing business slowed. GERARD JULIEN / AFP

บิ๊กเทค ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด 2/2566 รายได้ค่าโฆษณา-คลาวด์เติบโตถ้วนหน้า สะท้อนภาพการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมโฆษณา ขณะที่การลงทุนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ดุเดือดขึ้น

บริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์ หรือ “บิ๊กเทค” ได้ทยอยประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2566 ต่างรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลักของตน ทั้งจากผลิตภัณฑ์ในฝั่งซอฟต์แวร์ คลาวด์ และที่เห็นชัดคือการเติบโตของรายได้ฝั่งโฆษณา จาก “บิ๊กเทค” ที่มีแพลตฟอร์มโฆษณาของตน ได้แก่ Google, Microsoft และ Meta

นอกจากนี้ เหล่าบิ๊กเทค ยังได้ประกาศความคืบหน้าของแผนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์มาใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการของตน เพื่อเตรียมเข้าสู่น่านน้ำใหม่ของการแข่งขันเทคโนโลยี

รายได้โต แต่หุ้นร่วง

ความน่าสนใจของการประกาศผลประกอบการครั้งนี้ คือทันทีที่นักลงทุนเห็นตัวเลขรายงาน กลับมีการเทขายหุ้นบริษัทใหญ่ออกมา นำโดย Netflix บริษัทเทครายแรก ๆ ที่ประกาศผลการดำเนินงาน ระบุว่า รายได้ไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นมูลค่าตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้

รวมถึงการเติบโตของรายได้มีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ที่คาดการณ์ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างกำไรจากการดำเนินงานในปี 2566 ที่ 18-20% ด้วย โดยใช้ประโยชน์จากแพ็กเกจโฆษณาและการเก็บค่าบริการระบบ paid sharing ต่อไป

แม้ว่า Netflix จะพึงพอใจกลับผลประกอบการของตนเอง แต่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นดูจะไม่ได้คิดอย่างเดียวกับ Netflix เพราะหลังจากที่มีการประกาศผลประกอบการ ราคาหุ้นของ Netflix ร่วงลงกว่า 8.9% เนื่องจากรายได้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ตลาดและนักลงทุนคาดการณ์ไว้ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อีกราย คือ Microsoft ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 366 ดอลล่าสหรัฐเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการประกาศแผนการนำปัญญาประดิษฐ์ จาก OpenAI ใส่ใน MS Office และจะเก็บค่าบริการเพิ่มราว 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แต่ทันทีที่ประกาศผลการประกอบการไตรมาสที่ 4/2023 (ตามที่บริษัทแจ้ง ตรงกับไตรมาส 2/2566) ราคาหุ้นกลับพลิกตัวลง 4%

โดยรายได้ของ Microsoft อยู่ที่ 5.62 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% แบ่งเป็น

  • รายได้จากการดำเนินงาน อยู่ที่ 2.43 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18%
  • รายได้สุทธิอยู่ที่ 2.01 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20%
  • Productivity and Business Processes (MS Office และอื่น ๆ) อยู่ที่ 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% จากการเติบโตลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร
  • Intelligent Cloud อยู่ 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% เฉพาะ Azure และบริการที่เกี่ยวข้องโต 26%
  • More Personal Computing อยู่ที่ 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 4% สาเหตุจาก Windows OEM ลดลง 12%, กลุ่มฮาร์ดแวร์ลดลง 20% ส่วน Windows Commercial และ Xbox รายได้เพิ่มขึ้น

นางสาวเอมี่ ฮูด รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกล่าวว่า การปิดปีงบประมาณนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งได้รับแรงหนุนจาก Microsoft Cloud รายไตรมาสที่ 3.03 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ขณะที่ นายสัตยา เนลดัลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Microsoft กล่าวว่า องค์กรต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ตั้งคำถามว่าพวกเขาจะสามารถใช้ AI รุ่นต่อไปนี้ได้อย่างไร แต่เร็วแค่ไหน เพื่อจัดการกับโอกาสและความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเผชิญอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ

“เรายังคงมุ่งเน้นไปที่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์ม AI ใหม่ ช่วยให้ลูกค้าใช้ Microsoft Cloud เพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่ายทางดิจิทัลของพวกเขา และผลักดันการใช้ประโยชน์จากการดำเนินงาน”

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว CNBC รายงานว่า การดำเนินการด้านการใส่ฟังก์ชั่นเอไอในฐานะ Co-Piot ในผลิตภัณฑ์ของ MS Office 365 นั้น อาจจะมีความล่าช้า และไม่ชัดเจนในกำหนดการเรียกเก็บเงิน

นางสาวเอมี ฮูด เปิดเผยกับ CNBC ว่าการเติบโตจากบริการ AI จะ “ค่อยเป็นค่อยไป” เนื่องจากเครื่องมือ Azure AI ได้รับความนิยมและ Copilots เช่นเครื่องมือสำหรับ Microsoft 365 พร้อมใช้งานโดยทั่วไป เธอกล่าวว่าอาจจะเป็นในช่วงปีงบประมาณ 2567 นักลงทุนบางรายอาจต้องเปลี่ยนความคาดหวังเกี่ยวกับรายได้อันเป็นผลมาจากความคิดเห็นดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นาย มาร์ก เมอร์ฟี่ นักวิเคราะห์ของ JPMorgan และนาย คาร์ล เคอร์สตีด จาก UBS มองว่า ว่า ระบบ Copilot ทำให้หลยฝ่ายคาดหวัง แต่เนื่องจากสาธารณชนต่างหลงใหลแชตบอต ChatGPT จากสตาร์ตอัพ OpenAI ซึ่งอาศัยคลาวด์ Microsoft Azure อยู่

บริษัทที่ขายซอฟต์แวร์เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่คล้ายกับโปรแกรมใน MS Office 365 ต่างเร่งรีบที่จะรวมคุณลักษณะเชิงสร้างสรรค์ของเอไอเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน และความล่าช้าในการเปิดตัว ชุดโปรแกรม Office ที่มีระบบ Co-pilot ของ Microsoft อาจหมายถึงการพลาดโอกาสในการเติบโตที่ชัดเจน

รายได้โฆษณาของ Meta พลิกโตอย่างโดดเด่น

ในช่วงปีที่ผ่านมา รายได้เกี่ยวกับการโฆษาออนไลน์ ตกต่ำอย่างมากในหลายแพลตฟอร์ม นำโดย Meta Platform inc. ที่สูญเสียความเชื่อมั่นอย่างมากจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก ท่ามกลางการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัลโซเชียลมีเดียใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการล่าสุด บ่งชี้ชัดถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโฆษณา โดยรายได้รวมของ Meta ไตรมาสที่ 2/2566 ณ เดือน มิ.ย. 2566 อยู่ที่ 3.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11%

Meta Platforms Inc. ยังระบุในรายงานด้วยว่า การฟื้นตัวของการโฆษณาออนไลน์จะผลักดันการเติบโตของรายได้ในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564

ซึ่งช่วยให้ “Mark Zuckerberg” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจุดประกายการสนับสนุนนักลงทุนสำหรับความทะเยอทะยานในระยะยาวของเขา (การพัฒนาเมตาเวิร์ส) รายได้ของ Meta สามารถเติบโตได้มากถึง 20% ในไตรมาสปัจจุบัน

สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า นี่เป็นก้าวที่ยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เศรษฐกิจจะซบเซา หลังการแพร่ระบาด และการเปลี่ยนแปลงกฎความเป็นส่วนตัวจาก Apple Inc. นำไปสู่ความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดในการขายโฆษณาดิจิทัลของ Meta ในประวัติศาสตร์ จากการรายได้ลดลงเป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว ทำให้นักลงทุนหมดความอดทนที่ Zuckerberg ใช้จ่ายนอกธุรกิจหลัก

หลังจากเลิกจ้างพนักงานหลายพันคนและปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจโฆษณาด้วยปัญญาประดิษฐ์ ตอนนี้ Zuckerberg ก็ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งกับผู้ถือหุ้นของเขา แม้แต่ข่าวที่ว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกสองปีข้างหน้าก็ไม่ได้ทำให้หุ้นตกต่ำ ซึ่งราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 7% ในการซื้อขายหลังตลาดหลังจากรายงานผลประกอบการ

การเร่งความเร็วในการขยายบริการด้านการโฆษณาของ Meta ไปยังธุรกิจที่มีขนาดเล็กลง อาจช่วยให้ Zuckerberg สามารถมีค่าใช้จ่ายที่ ครอบคลุมความต้องการที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ต่อไป และวิสัยทัศน์สำหรับ Metaverse ของเขา

“ซูซาน ลี” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Meta Platforms Inc ระบุว่า ยังคงมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในโอกาสสำคัญข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่มองเห็นโอกาสสำคัญที่สุด คือ AI และ metaverse

รายงานของ Meta ระบุว่า การฟื้นตัวของรายได้จากการโฆษณาของ Meta นั้นเป็นผลมาจากการลงทุนใน Reels ซึ่งเป็นวิดีโอแบบสั้นบน Instagram และ Facebook ที่สร้างขึ้นเพื่อคัดลอกรูปแบบของ TikTok ที่เป็นคู่แข่ง มีการเล่นมากกว่า 200 พันล้านครั้งบน Instagram และ Facebook และได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากการปรับปรุงในการกำหนดเป้าหมายฟีดของแต่ละคนด้วยวิดีโอที่เหมาะกับความสนใจของผู้ใช้

Google โหมพัฒนาเอไอ หลังรายได้โฆษณา-คลาวด์ โตกว่าคาด

ด้าน Google หรือ Alphabet ก็ไม่น้อยหน้า รายรับไตรมาส 2/2566 อยํู่ที่ 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.28 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น

  • รายได้ในยูนิตคลาวด์ของ Google รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน และแอปเกี่ยวกับการทำงานในออฟฟิศเพิ่มขึ้น 28% ทำกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 รายงานรายได้จากการดำเนินงานล่าสุดนี้อยู่ที่ 395 ล้านดอลลาร์ หลังจากขาดทุน 590 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า
  • รายได้จากโฆษณาของ Google เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 5.81 หมื่นล้านเดอลล่าร์ จาก 5.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
  • โฆษณา YouTube ทำรายได้เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่ 7.67 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้นจาก 7.34 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า แม้แพลตฟอร์มวิดีโอต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจาก TikTok ในวิดีโอสั้น
  • รายรับจาก “การค้นหาและอื่น ๆ” ของ Google เพิ่มขึ้นเป็น 4.26 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว

รายรับในไตรมาส 2/2566 เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จาก 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์

ที่ผ่านมา Alphabet รายงานผลการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว (Single Digit) ติดกันสี่ไตรมาส เนื่องจากพิจารณาถึงการลดลงของเม็ดเงิน “โฆษณาดิจิทัล” ที่ลดลง ที่สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์ไม่คาดว่าการเติบโตจะแตะเลขสองหลักอีกจนกว่าจะถึงไตรมาสที่ 4/2566 แต่การประกาศผลไตรมาสล่าสุดบ่งชี้ว่าการโฆษณาดิจิทัลพลิกกลับมาเติบโต

The New York Time รายงานว่า ผลประกอบการนี้ เป็นชัยชนะของ Google ที่อยู่ท่ามกลางปัญหาของเม็ดเงินโฆษณาที่ตกต่ำ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อ ทั้งยังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ได้ล่าช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft

ในแถลงการณ์ Google กล่าวว่าได้รับความช่วยเหลือจากการเร่งรายได้จากเครื่องมือค้นหาและ YouTube ในไตรมาสที่สอง เครื่องมือค้นหาได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณาที่สูงขึ้นของผู้ค้าปลีกรายย่อย แต่ก็ยังเป็นการยากที่จะระบุว่าการฟื้นตัวของ Alphabet บ่งชี้ว่าตลาดโฆษณาออนไลน์หรือเศรษฐกิจในวงกว้างกำลังฟื้นคืนความแข็งแกร่ง

“ซุนดา พิชัย” ผู้บริหารระดับสูงของ Alphabet กล่าวว่า Generative A.I. จะนำไปสู่นวัตกรรมสำหรับเครื่องมือค้นหาของบริษัท

“ปีนี้เป็นปีที่ 7 ของเราในฐานะบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ A.I. และเรารู้โดยสัญชาตญาณว่าจะรวมเอา A.I. ลงในผลิตภัณฑ์ของเรา ความก้าวหน้าเหล่านี้เป็นโอกาสในการพลิกโฉมผลิตภัณฑ์จำนวนมากของเรา รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของเรา ซึ่งก็คือ Search Engine”

แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของ A.I. การแข่งขันจากแชตบอต ChatGPT ที่บรรจุอยู่เครื่องมือค้นหา Bing ของ Microsoft แต่เครื่องมือค้นหาของ Google ยังคงเป็นประตูกลางสู่เว็บสำหรับผู้ใช้หลายพันล้านคน ซึ่งช่วยให้บริษัทโน้มน้าวใจผู้ลงโฆษณาได้มากขึ้นว่าไซต์ของตนยังคงเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือในการเข้าถึงผู้บริโภค

บริษัทได้พยายามปรับโครงสร้าง โดยปลดบางโครงการ เลิกจ้างพนักงาน 12,000 คน และรวม A.I. เข้าด้วยกันสองรายการ เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนา A.I.ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยในเดือนพฤษภาคม Google ได้เปิดตัว A.I. ฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงทดสอบสาธารณะ