อีลอน มัสก์ พลิกกลับมารวยเป็นที่ 1 ของโลก เพราะ Tesla

อีลอน มัสก์
ภาพจาก AFP

“อีลอน มัสก์” พลิกกลับมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกด้วยอานิสงส์จากราคาหุ้นของ “Tesla” หลังพ่ายให้กับเจ้าของอาณาจักรแบรนด์หรู “LVMH” อยู่พักใหญ่

วันที่ 1 สิงหาคม 2566 รายงานการจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลกของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg Billionaire Index) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2566 ระบุว่า “อีลอน มัสก์” (Elon Musk) เป็นบุคคลที่รวยที่สุดของโลกด้วยความมั่งคั่งสุทธิ 2.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการครองตำแหน่งในเดือนที่สองติดต่อกัน หลังจากมัสก์เสียแชมป์ให้กับเจ้าของอาณาจักรแบรนด์หรู LVMH อย่าง “เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์” (Bernard Arnault) ก่อนจะพลิกกลับสู่อันดับ 1 ได้ในเดือน มิ.ย. 2566

โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้มัสก์สามารถพลิกกลับมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คือราคาหุ้นของ “เทสลา” (Tesla)

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจาก Refinitiv และ FactSet บริษัทข้อมูลทางการเงินในสหรัฐว่า ในเดือน พ.ค. 2566 ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวสูงขึ้นราว 24% ซึ่งมัสก์มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ประมาณ 13% นั่นจึงทำให้ความมั่งคั่งสุทธิของมัสก์เพิ่มขึ้น 40.3% คิดเป็นมูลค่า 1.92 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ในเดือน ม.ค. 2566 เขามีความมั่งคั่งสุทธิราว 136 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ทั้งนี้ รายงานข่าวยังระบุว่า หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวสูงขึ้น คือการที่มัสก์เดินทางเยือนจีนในรอบ 3 ปี และเข้าพบ “ฉิน กัง” รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนในเวลานั้น เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566 เพื่อหารือทิศทางการลงทุนในจีนที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ของ Tesla

ซึ่งการตัดสินใจเยือนจีนครั้งนั้น เป็นเหมือนการส่งสัญญาณจากมัสก์ถึงนักลงทุนว่า ตนกำลังกลับมาให้ความสำคัญกับ Tesla หลังจากที่โฟกัสอยู่แต่กับการจัดการเรื่องภายในองค์กรของทวิตเตอร์ (Twitter) จนทำให้นักลงทุนตัดสินใจเทขายหุ้นของ Tesla ส่งผลต่อราคาหุ้นในเดือน พ.ย. 2565 ที่แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และมีราคาหุ้นอยู่ที่ 167.87 ดอลลาร์ต่อหุ้น