ศึกสตรีมมิ่งไม่หมู Disney+ ดิ้นแก้เกมขาดทุน จ่อขึ้นราคาอีก-ห้ามแชร์พาสเวิร์ด

Disney+
Photo by Patrick T. FALLON / AFP

“Disney+” ประกาศปรับแผนฟื้นรายได้ เตรียมปรับราคาแพ็กเกจรอบใหม่-จ่อใช้มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน หลังฐานลูกค้าไตรมาส 3/66 ลด 7% รายได้ขยับขึ้น 9% แต่ยังขาดทุนกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ

วันที่ 11 สิงหาคม 2566 สถานการณ์ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งยังคงไม่สดใสสำหรับ “Disney+” (ดิสนีย์ พลัส) หากพิจารณาจำนวนผู้ใช้บริการไตรมาส 3/2566 ลดลง 7.4% จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 146 ล้านราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 151 ล้านราย จากการยกเลิกสมาชิก Disney+ Hotstar 24% หลังเสียสิทธิ์ในการเผยแพร่การแข่งขันคริกเก็ตอินเดียน พรีเมียร์ลีก (Indian Premiere League) ไป

Disney จึงประกาศแผนสร้างรายได้เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจสตรีมมิ่งอีกครั้ง โดยเตรียมพัฒนาระบบห้ามแชร์รหัสผ่าน และคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในปี 2567 ตามรอยคู่แข่งรายสำคัญอย่าง “เน็ตฟลิกซ์” (Netflix) ที่ใช้มาตรการดังกล่าวไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยังเตรียมปรับราคาแพ็กเกจ Disney+ อีกรอบ หลังจากขึ้นไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยครั้งนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณา เป็นเดือนละ 13.99 เหรียญสหรัฐ (ราว 490 บาท) จากเดิม 9.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ราว 350 บาท) ตั้งแต่ 12 ต.ค. 2566 รวมถึงจะมีแพ็กเกจใหม่ “ดูโอ้ระดับพรีเมี่ยม” รวมบริการ Disney+ และ Hulu แบบไม่มีโฆษณาเข้าด้วยกัน ราคา 19.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ราว 700 บาท) ในวันที่ 6 ก.ย. 2566 ด้วย

นายบ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ดิสนีย์” กล่าวว่า ในปลายปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทปรับราคาแพ็กเกจ Disney+ ขึ้นมาแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบกับการยกเลิกสมาชิกของผู้ใช้งานอย่างมีนัยยะสำคัญ ถือเป็นเรื่องน่ายินดี และสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันเชิงคุณภาพเนื้อหาด้วย”

อย่างไรก็ตาม หลังจากดิสนีย์ประกาศแผนสร้างรายได้ในธุรกิจสตรีมมิ่ง ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 4% (ณ วันที่ 9 ส.ค. 2566) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า ดิสนีย์จะสามารถสร้างรายได้ตามแผนการที่ประกาศไว้ได้

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปีงบการเงิน 2566 ของดิสนีย์ ระบุว่ามีรายได้จากธุรกิจสตรีมมิ่ง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% เป็นอานิสงส์จากการขึ้นราคาแพ็กเกจ Disney+ แต่ยังคงประสบภาวะขาดทุนที่ 512 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ดิสนีย์ต้องเร่งแก้เกม โดยหวังว่าจะทำให้ธุรกิจสตรีมมิ่งพลิกลับมาทำกำไรให้ได้