คอลัมน์ :Tech Times ผู้เขียน : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
Apple เป็นบิ๊กเทคที่ค่อนข้างปากหนักและไม่ค่อยยอมเปิดปากพูดอะไรก่อนเปิดตัวสินค้าหรือบริการใหม่ ทำให้คนในวงการได้แต่เฝ้าจับตาดูว่า Apple จะเอายังไงกับกระแส AI ที่กำลังบูมสุด ๆ ในตอนนี้
ในขณะที่คู่แข่งตัวเบิ้มอย่าง Microsoft Google หรือ Amazon โหมประโคมข่าวพร้อมทุ่มสรรพกำลังในการลงทุนพัฒนา generative AI อย่างหนัก ต่างจาก Apple ที่ปิดปากเงียบเกี่ยวกับแผนงานด้าน AI ของบริษัท
มีเพียง “ทิม คุก” ซีอีโอ เคยพูดกว้าง ๆ ในที่ประชุมกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ว่า AI และ machine learning เป็นเทคโนโลยีหลักที่บริษัทจะใช้ในการพัฒนาสินค้าทุกตัวในอนาคต และบริษัทจะยังคงลงทุนในงานวิจัยพัฒนาต่อเนื่องเพื่อนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมต่อไป
จะเห็นว่า Apple ปิดปากเงียบเท่าไหร่ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้มากเท่านั้น
นักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มขุดดูว่า Apple มีการขยับตัวด้าน AI อย่างไรตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบข้อมูลน่าสนใจในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นที่บริษัทเทกโอเวอร์สตาร์ตอัพพัฒนาซอฟต์แวร์ AI หลายสิบแห่งตั้งแต่ปี 2015 และมีการนำซอฟต์แวร์เหล่านั้นมาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้าและบริการเกือบทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad คอมพิวเตอร์ สมาร์ทวอตช์ ไปจนถึงแว่น VR และแอปต่าง ๆ
จากข้อมูลของบริษัทวิจัย PitchBook พบว่า Apple กว้านซื้อสตาร์ตอัพ AI ถึง 30 แห่งตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า เป้าหมายของบริษัทไม่ใช่การสร้าง generative AI แบบ stand-alone เหมือนบิ๊กเทครายอื่น แต่เป็นการสร้าง machine learning infrastructure ทั้งระบบ เพื่อยกระดับสินค้าและบริการทั้งหมดของบริษัท
และหากดูสินค้าเรือธงของบริษัทก็จะพบว่า มีการเพิ่มฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เข้ามาตลอด เช่น iPhone 15 มีการเพิ่มบริการ personal voice ที่สามารถโคลนเสียงของผู้ใช้งานได้ หรือ live voicemail ที่ถอดเสียงออกมาเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ แว่น Vision Pro ตัวล่าสุดมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถสร้าง avatar มาเป็นเพื่อน ดูหนัง เลือกรูป หรือทำพรีเซนเตชั่นร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มฟีเจอร์ทีละเล็กละน้อยแบบนี้ ทำให้มีนักวิเคราะห์เกรงว่า Apple กำลังตามหลังคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่ออกตัวแรงและเร็วในเกมนี้ และสามารถสร้างรายได้ที่น่าพอใจให้กับบริษัท (Microsoft มีรายได้จาก cloud services เพิ่มขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสล่าสุด โดย 3 percentage points มาจากบริการ AI)
แต่นักวิเคราะห์บางคนก็มองว่า Apple น่าจะลงมาเล่นเต็มตัวในเกมนี้แน่ ๆ ดูจากการลงทุนซื้อสตาร์ตอัพและจ้างมือดีด้าน generative AI และ large language model มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง (Financial Times รายงานว่า Apple มีการจ้างหัวกะทิจากทุกหัวระแหงมาร่วมทีม ตั้งแต่ปารีสยันปักกิ่ง)
นอกจากนี้ จุดแข็งของ Apple คือ การมีฐานผู้ใช้งานกว่า 2 พันล้านคน ทำให้การขยับตัวของยักษ์ใหญ่รายนี้ เป็นอะไรที่น่าจับตามอง โดย แดน อีฟส์ นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities เชื่อว่า Apple น่าจะเปิดตัว AI app store ในปีหน้า และประเมินว่าบริษัทจะมีการลงทุนใน AI ประมาณปีละ 5 พันล้านเหรียญ
โดยในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนไปแล้วอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญ ในงานวิจัยและพัฒนา (พอ ๆ กับ Microsoft) เพื่อสร้างรากฐานสำหรับพัฒนาแอปเพื่อป้อน AI app store โดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างรายได้ประมาณ 5 พัน-1 หมื่นล้านเหรียญต่อปี
แม้จะไม่ได้ออกมาพูดมากเท่าไหร่เรื่อง “แชตบอต” ซึ่งดูจะเป็นพระเอกในตลาด generative AI หลังความสำเร็จอันเปรี้ยงปร้างของ ChatGPT แต่ Bloomberg รายงานว่า Apple ก็มีแชตบอตของตัวเองเหมือนกัน แต่พัฒนาไว้ใช้ภายในเท่านั้น
ตอนนี้นักวิเคราะห์เลยเชื่อว่า Apple น่าจะจริงจังกับ AI พอควร แต่ที่บริษัทดูเหมือนออกตัวช้าน่าจะมาจากจุดยืนด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้กว่าจะเปิดตัวบริการใหม่แต่ละทีต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนว่าจะไม่กระทบกับจุดยืนด้านนี้
สาวก Apple ก็อย่าเพิ่งถอดใจ รอลุ้นดูว่าปีหน้าจะมีโอกาสได้เห็น AI app store อย่างที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รึเปล่า