ถอดสูตร “ยิบอินซอย” องค์กรไอที 1 ศตวรรษ

yip in tsoi
มรกต ยิบอินซอย
สัมภาษณ์พิเศษ

“ยิบอินซอย” บริษัทสัญชาติไทยเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จากการเป็นผู้กล้าหน้าใหม่ในสมรภูมิธุรกิจฟู้ดดีลิเวอรี่ ที่รับไม้ต่อกิจการ “โรบินฮู้ด” (Robinhood) จากยานแม่ “เอสซีบี เอกซ์” (SCBX) ด้วยมูลค่าดีลกว่า 2,000 ล้านบาท

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “มรกต ยิบอินซอย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด หลากหลายแง่มุม ทั้งที่เกี่ยวกับบิ๊กมูฟล่าสุด และเรื่องราวในอดีตของบริษัทอายุเกือบศตวรรษแห่งนี้ และการเริ่มต้นศตวรรษใหม่

ทำความรู้จัก “ยิบอินซอย”

แม่ทัพ “ยิบอินซอย” เล่าถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทว่า เริ่มต้นจากคุณปู่ (ยิบอินซอย) เป็นนายแบงก์เรียนจบจากฮ่องกงกลับมาช่วยงานครอบครัวที่ทำธุรกิจสร้างทางรถไฟในสมัยรัชกาลที่ 6 และเห็นโอกาสในการทำธุรกิจค้าแร่ จึงเดินทางไปที่ภาคใต้เพื่อค้าขายแร่กับชาวต่างชาติ ก่อนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายที่ประเทศไทย เช่น 3M, Stabilo Boss, นมซิมิแลค และตั้งบริษัทร่วมกับกลุ่มซีสซั่นส์ บราเดอร์ส เพ้นท์ เป็นต้น

“พอนำเข้าและขายสินค้าให้คนอื่นไปเรื่อย ๆ ผู้บริหารในยุคนั้นก็มองว่าไม่ยั่งยืนเท่ากับการมีแบรนด์ของตนเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเกษตรด้วย ปุ๋ยตราใบไม้ ที่พัฒนาสูตรจากแม่ปุ๋ยในเยอรมนี กระทั่งปี 2500 ยิบอินซอยจึงเริ่มเข้าสู่ธุรกิจไอทีจากการนำเครื่องบวกเลข (Adding Machine) เข้ามาใช้ ตามด้วยคอมพิวเตอร์เบอร์โร่วส์ มีกลุ่มลูกค้าเป็นแบงก์ และหน่วยงานราชการต่าง ๆ”

จนถึงปัจจุบันประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.กลุ่มเกษตร และเทคโนโลยีการเกษตร 2.กลุ่ม IT Infrastructure 3.กลุ่มพลังงาน 4.กลุ่ม Platform as a Service และ 5.กลุ่มนวัตกรรมทางสังคม และสินค้าจากธรรมชาติ

“รายได้ของทั้งกลุ่มยิบอินซอยในปีนี้น่าจะแตะหลักหมื่นล้านบาทแล้ว มาจากธุรกิจไอที 60-70% ซึ่งยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจะอยู่ในทุกอุตสาหกรรม”

จังหวะและโชคชะตา

“มรกต” เล่าต่อว่า ธุรกิจหลายอย่างของยิบอินซอยเริ่มต้นจาก “โชคชะตา” และจังหวะเวลาที่ใช่ เช่น มอเตอร์ไซค์ EV ก็ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากการคิดว่าจะทำ แต่มาจากเวนเดอร์รายหนึ่งเสนอให้บริษัทเป็นตัวขายสมาร์ทโฟนกับกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) ที่จะนำไปติดตั้งบนมอเตอร์ไซค์ EV เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการทำงาน ทำให้ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ EV ส่วนหนึ่งก็มองว่าน่าจะนำไปต่อยอดกับธุรกิจการเกษตรได้ด้วย

ADVERTISMENT

เช่นกันกับกรณี Robinhood ก็เข้ามาในจังหวะที่ยิบอินซอยกำลังวางแผนที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับ Platform as a Service

“SCBX วางระบบหลังบ้าน และการให้บริการไว้หมดแล้ว เราตั้งใจรับมาทำต่อ เพราะแนวคิดหลายอย่างตรงกันกับเรา โดยเฉพาะเรื่องความจริงใจในการให้บริการ การมี Robinhood ที่เป็นธุรกิจ B2C จึงถือเป็นของขวัญต้อนรับศตวรรษใหม่ของเรา

หลายคนมองว่ายิบอินซอยเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงหรือเปล่า เพราะเราอยู่แต่กับ B2B มาตลอด คำตอบคือไม่ เรารู้ว่ามีโอกาสที่แพลตฟอร์มนี้จะไปต่อได้อีกมาก”

และในฐานะตนเองก็เป็นผู้ที่ใช้งานมาก่อน จึงรู้ว่าการให้บริการเกี่ยวข้องกับคน 3 กลุ่ม คือ ผู้ใช้ ร้านค้า และไรเดอร์ โดยมีแพลตฟอร์มเชื่อมตรงกลาง หน้าที่ของเราคือทำให้ทั้ง 3 กลุ่มอยู่ร่วมกันได้และเป็นอีโคซิสเต็มที่แข็งแรง

อนาคตของ Robinhood

“มรกต” เล่าถึงแผนในระยะสั้นว่า ต้องทำให้บริการฟู้ดดีลิเวอรี่ของ Robinhood กลับมาแข็งแรงก่อนที่จะขยับไปยังบริการอื่น ๆ ที่เคยมี เช่น บริการเรียกรถ (Robinhood Ride), จองที่พัก-ตั๋วเครื่องบิน (Robinhood Travel) และส่งของ (Robinhood Express)

“ต้องเริ่มจากการบาลานซ์ดีมานด์ และซัพพลายให้โตไปพร้อม ๆ กัน ทันทีที่เราเข้ามาก็ได้ติดต่อไปยังไรเดอร์ และร้านค้าที่ปิดระบบให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ ปัจจุบันสามารถให้บริการได้ราว 40,000 ออร์เดอร์ต่อวัน

ส่วนเรื่องการเก็บค่า GP (Gross Profit) จะเก็บที่ 25% กับอีก 3% เป็นค่าธรรมเนียมสำหรับการโปรโมตร้านในช่องทางต่าง ๆ เทียบกับเจ้าอื่นยังถือว่าถูกกว่า”

ก่อนหน้านี้ Robinhood ใช้โมเดลที่เรียกว่า “ดีดีพลัส” หรือเป็นการจ่ายค่าธรรมเนียมโดยสมัครใจ คือจะไม่จ่ายหรือจ่ายที่ 15-20% ของยอดขายก็ได้ เพราะถือเป็นโครงการ CSR ของธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมามีร้านที่ยินดีจ่ายมากกว่าไม่จ่าย เมื่อบริษัทเข้ามาทำต่อก็จะต้องเก็บค่าธรรมเนียมตรงนี้เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในอีโคซิสเต็มอยู่ได้ เชื่อว่าร้านต่าง ๆ เข้าใจ เพราะเป็นการทำธุรกิจ ไม่ใช่โครงการ CSR เหมือนเดิม

“เราเชื่อเรื่องการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ หลายครั้งที่ธุรกิจเราประสบความสำเร็จ ก็เพราะมีพาร์ตเนอร์ดี ทั้งไอเดีย และพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อม ๆ กัน เป็นมาตั้งแต่ยุคคุณปู่ถึงปัจจุบัน เมื่อ Robinhood มาอยู่กับเรา ก็มีพาร์ตเนอร์ติดต่อมาอยากร่วมงานด้วยเยอะมาก ๆ เราเปิดรับทุกความเป็นไปได้ หรือใครที่มองว่าแพลตฟอร์มเราจะมีส่วนช่วยต่อยอดธุรกิจได้ก็พร้อมทำงานร่วมกัน”

ประสบการณ์ธุรกิจ

ในฐานะองค์กรที่มีอายุยาวนาน “มรกต” บอกว่า ย่อมมีช่วงที่ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักมาก เท่าที่จำได้มี 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกคือวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” จากการลอยตัวของค่าเงินบาท เพราะกู้เงินจากต่างประเทศได้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ยังโชคดีที่มีการ “ฟิกซ์” ค่าเงินไว้ จึงไม่ได้เจ็บตัวมากนัก

“ครั้งที่สอง เกิดขึ้นช่วงที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ราคาน้ำมันพุ่งสูง ราคาสินค้าเกษตรที่เป็นต้นทุนวัตถุดิบของปุ๋ยและยาเหวี่ยงมาก ขณะที่ความต้องการสูง สินค้าชนิดหนึ่งราคาขึ้นไปถึงจุดพีก แต่พอการแข่งขันจบลงราคาก็ตกลงมา กลายเป็นว่าของที่เราสต๊อกไว้ ต้นทุนติดดอย ขายสู้กับคู่แข่งไม่ได้ เราก็คุยกับเวนเดอร์ปุ๋ยในเยอรมนีว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เขาก็เข้าใจ ให้เราเลื่อนการจ่ายเงินออกไปได้ หรือกับแบงก์ เราก็พูดตรง ๆ ว่าเราขายของไม่ได้เพราะสต๊อกล้น เขาก็ปรับรอบการชำระหนี้ให้ เป็นต้น”

เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า การสร้างความเชื่อใจ หรือเวลาที่มีปัญหาอะไรก็พูดคุยกับพาร์ตเนอร์ตรง ๆ ไม่ปิดบัง เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

องค์กร 100 ปี

“มรกต” บอกว่า ยิบอินซอยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรม และความจริงใจทั้งกับลูกค้า และพาร์ตเนอร์เสมอ ยิ่งอยู่มานาน ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบในงานที่ทำ ดังนั้นทุกงานของยิบอินซอยจะต้องส่งถึงมือลูกค้าทุกครั้ง เพราะชื่อเสียงของบริษัทผูกติดกับสิ่งเหล่านี้

“การที่อยู่มานานมีข้อดีหลายอย่าง อย่างแรกเรื่องความมั่นคง ใคร ๆ ก็เชื่อใจ และไว้ใจ อีกเรื่องคือเหมือนเป็นคนที่เห็นโลกมาเยอะ บางทีเห็นอะไรใหม่ ๆ มาก็จะเลือกเยอะ จึงอาจทำให้พลาดอะไรบางอย่างไปบ้าง แต่ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นโอกาสที่สามารถต่อยอดได้ ถ้าจะเสียเปรียบองค์กรไอทีใหม่ ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่หวือหวา บางทีก็คิดว่า ทำไมเราไม่มีสิ่งนั้นบ้าง แต่ก็เข้าใจว่าเราเป็นวาฬตัวใหญ่ จะขยับตัวทำอะไรก็ลำบาก เพราะวัฒนธรรมและวิถีการทำงานไม่ได้เอื้อให้ทำแบบที่องค์กรใหม่ ๆ ทำได้”

และเรารู้ว่าถ้าต้องสร้างอะไรใหม่ ๆ ด้วยตัวเองไม่รอดแน่นอน แต่ถ้ายิบอินซอยและบริษัทของเด็ก ๆ รุ่นใหม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำตรงกัน ก็พร้อมจับมือกับทุกคน เพื่อผลักดันให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ไปด้วยกัน